เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าเบื้องหลังแท้จริงของจักรวาลนี้คืออะไร เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเราเองมีบทบาทสำคัญแค่ไหน แล้วความคิดของเรามันจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในโลกที่เราอยู่นี้จริงหรือเปล่า
แล้วถ้าผมบอกว่าพลังในการสร้างโลกของตัวเองนั้น จริงๆ แล้วอาจซ่อนอยู่ในความคิดของคุณล่ะ?
วันนี้เราจะลงลึกเจาะจงไปที่กลไกการทำงานของจิตใจ เพื่อที่เราจะปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของมันออกมา!
หลังจากที่เราได้นำเสนอเนื้อหาของหนังสือ The Kybalion หรือที่หลายคนเรียกว่า คัมภีร์ไคบาเลียน มาแล้วทั้งหมดทุกบทจำนวน 15 บท ที่ผ่านมา วันนี้เราจะมาตีความหมายกันว่าจริงๆแล้ว The Kybalion ต้องการบอกอะไรเรา
เนื้อในบทนี้เราจะดำดิ่งไปกับความรู้และภูมิปัญญาโบราณที่อยู่ใน The Kybalion (คัมภีร์ไคบาเลียน) การเดินทางของเราในวันนี้จะสำรวจตั้งแต่บทที่ 3 ถึงบทที่ 5 เพื่อที่จะแกะแนวคิดที่ว่า “สรรพสิ่งที่เห็นและเป็นไปล้วนเป็นโลกของจิตใจ”
การเจาะลึกลงไปในแนวคิดอันน่าทึ่งนี้อาจจะพลิกโฉมความเข้าใจของคุณทั้งในเรื่องของจักรวาล บทบาทของเราในนั้น และพลังอันเหลือเชื่อของจิตใจของคุณเอง! เมื่อพร้อมแล้วก็คาดเข็มขัดให้แน่น เพราะการเดินทางนี้จะเต็มไปด้วยการเปิดโลกที่คุณอาจจะไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ก่อนที่เราจะไปสำรวจแต่ละบท ขอวางพื้นฐานความเข้าใจกันก่อนนะ งั้นมาแกะแนวคิดใหญ่เบิ้มอันแรกของ The Kybalion ซึ่งก็คือ Principle of Mentalism (หลักจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) กันก่อนว่ามันคืออะไร
Mentalism หรือว่า หลักสรรพสิ่งที่เห็นและเป็นไปนั้นที่แท้แล้วเป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นเท่านั้น หลักการนี้เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของคัมภีร์ไคบาเลียน เป็นแนวคิดล้ำลึกมาก ผมว่าคุณเองก็น่าจะทึ่งไม่น้อยหากได้เข้าใจมัน
ประเด็นก็คือ คัมภีร์ไคบาเลียนบอกเราว่า จักรวาลนี้ ตั้งแต่ดาวทุกดวงบนท้องฟ้า เม็ดทรายทุกเม็ดบนชายหาด ไปจนถึงความคิดทุกอย่างของคุณเองนั้น มีพื้นฐานที่แท้จริงเป็นสิ่ง ‘จิต’ สร้างขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งอยู่ภายในจิตของสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เรียกว่า “สรรพสิ่ง” (The All)
ลองจินตนาการแบบนี้นะ…
รอบๆ ตัวเราตอนนี้คือการแสดงดนตรีซิมโฟนีสุดยิ่งใหญ่ เป็นคอนเสิร์ตระดับจักรวาลเลยทีเดียว ทุกโน้ต ทุกทำนอง ทุกช่วงพีคของเพลง ล้วนเกิดจากการแต่งของ’จิต’แห่งจักรวาล
พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เสียงหัวเราะและน้ำตา ความฝันและความกลัว ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนสำคัญของการบรรเลงซิมโฟนีสุในครั้งนี้
และนี่คือส่วนที่สวยงามที่สุดนะ ส่วนที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งจริงๆ ก็คือตัวเราเอง ไม่ใช่แค่ผู้ชมคอนเสิร์ตระดับจักรวาลนี้ แต่เราคือส่วนหนึ่งของวงดนตรีด้วย!
ความคิด อารมณ์ และการกระทำของเราแต่ละคน เปรียบเหมือนโน้ตแต่ละตัวที่ช่วยเติมเต็มซิมโฟนีอันยิ่งใหญ่นี้ที่เรียกว่า “จักรวาล”
ขอเวลาแป๊บนึงให้ซึมซับตรงนี้เข้าไปก่อน เราไม่ได้อยู่ในจักรวาลเฉยๆ แต่เราเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน เป็นส่วนสำคัญของมัน เรากำลังสร้างเสียงดนตรีในมหาซิมโฟนีนี้ด้วยความคิดทั้งหมดของเรา ด้วยอารมณ์ทุกอย่างที่เรารู้สึก ด้วยทุกการตัดสินใจที่เราเลือกทำ
ลองคิดง่ายๆถ้าจักรวาลนี้ปราศจากตัวเอง เราก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าจักรวาลนั้นมีอยู่จริง ที่จักรวาลนั้นมีอยู่จริงเพราะเราสัมผัสมันได้จากการเห็น สัมผัส รส เป็นต้น การรับรู้ดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีจิตให้ตระหนักถึงการมีจริงของสิ่งๆต่างๆที่เราเห็น
ดังนั้นหากไม่มีจิต ก็จะไม่มีจักรวาลและความเป็นจริงให้เราได้รับรู้ หรือพูดอีกในหนึ่งว่าจิตสร้างการับรู้การมีอยู่ของชีวิต ดวงดาว จักรวาลและสิ่งต่างๆที่กำลังดำเนินอยู่
ฟังแล้วสนใจไหม? ตื่นเต้นหรือยัง? งั้นเรามาเจาะลึกกันว่าความคิดนี้มีความหมายยังไงกับเราบ้าง ตอนนี้เราจะไปดูเนื้อหาในคัมภีร์ไคบาเลียนกัน เอาล่ะ ตอนนี้เรามาถึงส่วนสำคัญกันแล้ว
บทที่ 3 ของคัมภีร์ไคบาเลียนจะเปิดเผยแนวคิดสุดน่าสนใจที่เรียกว่าการแปรสภาพทางจิต (Mental Transmutation) หรือการแปรสภาพทางจิต
ฟังดูยากใช่มั้ย? แต่มันง่ายกว่าที่คิดเยอะ! งั้นลองมาติดตามกันต่อ
การแปรสภาพทางจิตนี่ คือการเปลี่ยนทำนองของซิมโฟนีในจิตใจของคุณเอง เป็นการเปลี่ยนสภาวะความคิดของเรานั่นเอง
ยังไงเหรอ? งั้นขอแตกประเด็นนี้ออกมาอีกหน่อย
คุณเคยมีโมเมนต์แบบที่แค่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียว แล้วดันเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้หรือเปล่า? รู้จักโมเมนต์แบบที่ปิ๊งแว้บแล้วทุกอย่างดูลงตัวไปหมดมั้ย? นั่นแหละ เหมือนเราเปลี่ยนช่องคลื่นในจิตใจเรา จากแนวเพลงบลูหม่นๆ เป็นป็อปสดใสๆ
แต่ตรงนี้จะยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะคัมภีร์ไคบาเลียนบอกเราว่าความสามารถของเราน่ะ มันไม่ได้หยุดแค่การเปลี่ยนสภาวะทางจิตของตัวเอง แต่เรายังสามารถ “ส่งอิทธิพล” ไปถึงโลกภายนอกได้ด้วยการแปรสภาพทางจิตของเราเอง
ลองจินตนาการดูว่า ความคิด อารมณ์ และแรงปรารถนาของเราเปรียบเหมือนไม้บาตองของวาทยากร กำลังกำหนดทิศทางของซิมโฟนีที่เป็นโลกของเรานั่นเอง เราสามารถปรับแต่งทำนองชีวิตของตัวเอง และยังส่งผลไปถึงมหาซิมโฟนีของจักรวาลได้ด้วย ฟังแล้วปวดหัวใช่มั้ยล่ะ?
เอาล่ะ ให้เวลาซึมซับตรงนี้ก่อน แล้วคิดดู… มันทำให้เรารู้สึกยังไงนะที่รู้ว่าสภาวะทางจิตของเราไม่ใช่แค่กำหนดโลกของเราเอง แต่ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปถึงจักรวาลแบบนี้? ชวนคิดใช่ไหมล่ะ น่าสนใจใช่หรือเปล่า?
เอาความคิดนี้ไปครุ่นคิดกันต่อก่อนนะ แล้วเรามาเดินทางต่อกัน พร้อมจะลงลึกไปอีกหรือยัง?
มาถึงบทที่ 4 บทนี้จะพาเราสำรวจตัวเองกันหน่อย และเราจะได้เจอกับแนวคิดที่ลึกซึ้งมากที่เรียกว่า The All หรือ “สรรพสิ่ง” ฟังตอนแรกอาจจะงงๆหน่อย เราจะมาแกะออกไปด้วยกัน
แนวคิด ‘สรรพสิ่ง’ นี่บอกเราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ถูกรวมอยู่ด้วยกัน และพอพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือทุกสิ่งจริงๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว อะตอม ความคิด อารมณ์ ทุกช่วงเวลา ทุกพื้นที่ในห้วงอวกาศ
แต่ ‘สรรพสิ่ง’ ไม่ใช่แค่ภาชนะยักษ์ที่ใส่ทุกสิ่งอย่างแบบงงๆ นะ มันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ ‘สรรพสิ่ง’ มีพื้นฐานมาจากจิตใจ หรือ Consciousness นั่นเอง
บางคนอาจจะมองว่า The All หรือสรรพสิ่งที่ว่าคือพระเจ้า พลังจักรวาล จิตแห่งจักวาล ธรรมชาติ ผู้สร้าง หรืออะไรก็ตามที่สร้างจักวาลขึ้นมาทั้งหมด
ฟังแล้วนึกถึงที่เราคุยกันช่วงแรกเลยมั้ย? จักรวาลนี้เป็นผลผลิตของจิต แต่นี่คือส่วนที่จะยิ่งใกล้ตัวกับชีวิตเรามากเข้าไปอีก
เพราะแนวคิดนี้ไม่ได้ห่างไกลตัวเราขนาดนั้น รู้ไหมว่าเราน่ะเป็นส่วนสำคัญของ ‘สรรพสิ่ง’ ด้วย เรามีความเชื่อมโยงอยู่กับจักรวาลนี้โดยตรง แยกออกจากความรู้ จากประสบการณ์ต่างๆ และธรรมชาติรอบตัวเราไม่ได้เลย
หยุดคิดตรงนี้แป๊บ แล้วลองคิดดู… มันมีความหมายอะไรกับเรามั้ย? ความเชื่อมโยงนี้จะเปิดประตูสู่ความเข้าใจและศักยภาพอะไรในตัวเราได้บ้าง? มันจะมีผลต่อวิธีคิด อารมณ์ และการกระทำของเราขนาดไหน?
นี่แหละหัวใจเลยของคัมภีร์ไคบาเลียน มันไม่ใช่แค่การเข้าใจหลักการพวกนี้แบบท่องจำได้ แต่เป็นการใคร่ครวญว่ามันหมายความยังไงกับชีวิตเราแต่ละคนด้วย ฟังแล้วน่าตื่นเต้นใช่ไหม? งั้นไปสำรวจต่อกัน!
เอาล่ะเรามาถึงบทที่ห้ากันแล้ว ที่นี่แหละเราจะมาทำความเข้าใจกับแนวคิดเรื่องจักรวาลแห่งจิต (Mental Universe)”
บทนี้แหละที่สรุปแนวคิดทั้งหมดที่เราสำรวจด้วยกันมาทั้งหมดได้แบบชัดเจน!
แล้ว “จักรวาลแห่งจิต” นี่คืออะไรกันล่ะ? ก็สรุปง่ายๆ คือ มันหยิบยกเอาแนวคิดทั้งหมดที่เราพูดถึงกันมา แล้วบอกว่า เอาละ… จักรวาลอันกว้างใหญ่ที่เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่นี่นะ จริงๆ แล้วที่แก่นแท้ของมัน มันคือการสร้างสรรค์ทางจิต ของสรรพสิ่ง (The ALL)
แล้วตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของ The ALL ที่ว่านี้ด้วย! ดังนั้นเราจึงมีพลังที่จะสร้างสิ่งที่เห็นและเป็นในโลกนี้ในจักรวาลนี้ได้เช่นกัน
ฟังแล้วสุดยอดไปเลยใช่ไหม แต่ขอแตกประเด็นหน่อยนะ จำเรื่อง ‘สรรพสิ่ง’ (The ALL) และการที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมันได้ไหม? บทที่ห้านี้จะย้ำเตือนความเชื่อมโยงตรงนั้น แต่ที่สำคัญคือมันเน้นว่าเราไม่ได้เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์เฉยๆ ในมหาคอนเสิร์ตแห่งจักรวาลนี้
แต่เราเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันอีกด้วย! ความคิดแต่ละอย่าง ความเชื่อแต่ละอย่าง วิธีเห็นโลกของเราแต่ละแบบนั้น มีบทบาทสำคัญในการสร้าง “จักรวาลแห่งจิต” นี้ขึ้นมา
หรือกล่าวอีกในหนึ่งสิ่งที่เราเห็นและเป็นไปเรามีส่วนร่วมในการสร้างมันขึ้นมา เราสร้างมาจากจิต จากความคิด จากภายใน เมื่อข้างในถูกสร้างไว้อย่างไร ข้างนอกก็จะปรากฏออกมาตามนั้น
และตรงนี้สำคัญนะ อย่าเพิ่งคิดว่ามันกำลังบอกว่าโลกที่จับต้องได้รอบตัวเราไม่มีอยู่จริง มันไม่ได้บอกว่าเก้าอี้ ต้นไม้ หรือภูเขานั้นไม่มีอยู่ แต่มันเน้นให้เห็นว่าความคิด ความเชื่อ และวิธีเห็นโลกของเรานั้นมีพลังมหาศาลในการกำหนดวิธีที่เราจะรับรู้ และปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริงของตัวเอง
ขอให้คิดตามนะ ถ้าเราเข้าใจว่าโลกของเราสามารถถูกกำหนดโดยจิตของเรา
- มันจะเปลี่ยนวิธีที่เรามองชีวิตของตัวเองไปขนาดไหน?
- เราอาจจะทำอะไรที่แตกต่างออกไป?
- เราจะเปลี่ยนมุมมองได้ยังไงบ้าง?
- แล้วเราจะเอาดนตรีในตัวเราเองไปสร้างสรรค์อะไรในคอนเสิร์ตแห่งจักรวาลดี?
ลองหยุดคิดตรงนี้ก่อน มันเป็นแนวคิดที่สำคัญมาก แต่ก็เป็นแนวคิดที่มอบพลังให้กับเราอย่างเหลือเชื่อ มันวางเราไว้ที่ใจกลาง ของจักรวาลตัวเอง ให้เราได้มีบทบาททรงพลังในการสร้างโลกของเราขึ้นมา
สรุป The Kybalion กำลังจะบอกเราว่า สิ่งที่เห็นและเป็นไป ไม่ว่าจะเป็น โลก จักรวาล ดวงดาว สิ่งที่เกิดดับ สิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เราได้เจอ ชีวิตที่ดำเนินไปในทิศทางต่างๆ เป็นผลของการสร้างสรรค์ทางจิตของ สรรพสิ่ง และตัวเราเองก็เป็นสรรพสิ่ง ดังนั้นเราก็มีพลังที่จะกำหนดชะตาชีวิต ให้เป็นไปตามที่เราคิดไว้ในใจได้
แล้วเราต้องทำอย่างไรเพื่อจะให้มันเป็นไปตามที่เราสร้างไว้ในระดับจิตได้? เดี๋ยวเอาไว้ในตอนต่อๆไปดีกว่านะ
เอาล่ะ เพื่อนนักแสวงหาปัญญา สำหรับเนื้อหาบทนี้คงมาหยุดตรงนี้กันก่อน แต่ไม่ต้องห่วง การเดินทางสำรวจคัมภีร์ไคบาเลียนนี้ไม่ได้จบลงแค่นี้แน่นอน เราจะนำเสนอเรื่องพลังของจิตใจกันในเว็บไซต์ เศรษฐี www.sedtee.com นี้
สุดท้ายนี้ทางเราขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางค้นหาความรู้กับเรา อย่าลืมว่าพลังในการสร้างโลกของเราเองนั้น อยู่ในตัวเรา อยู่ที่จิตใจของเรานี่แหละ ฉะนั้น อย่าหยุดตั้งคำถาม อย่าหยุดหาแรงบันดาลใจ และเหมือนเดิม ขอให้ทุกคนแสวงหาปัญญาอย่างต่อเนื่อง!