พลังจิตใต้สำนึกจะช่วยให้คุณร่ำรวยได้อย่างไร: สรุปเนื้อหาหนังสือ The Power of Your Subconscious Mind

คุณอาจจะเป็นหนึ่งที่คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ดี คุณทำงานหนักหรือทำทุกอย่างที่ทำได้ คุณทุ่มเทและตั้งใจอย่างเต็มที่ แต่คุณก็ไม่ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ ที่แย่ไปกว่านั้นบางครั้งคุณกลับได้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คุณต้องการเสียด้วยซ้ำ

แต่ในทางกลับกันบางคนดูเหมือนจะไม่ได้พยายามอะไรเลย แต่กลับมีทั้งเงินและความสำเร็จ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ? ทำไมบางคนถึงได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างง่ายดาย ขณะที่คนอื่นกลับต้องต่อสู้ชั่วชีวิตแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ? คำตอบอยู่ที่วิธีที่พวกเขาใช้จิตใต้สำนึกนั่นเอง

หลังจากที่เว็บ Sedtee.com เราได้พูดถึงพลังของจิตใจใต้สำนึก โดยอ้างอิงจากนังสือที่ ชื่อว่า “The Power of Your Subconscious Mind” โดย Joseph Murphy กันมาหลายครั้งแล้ว วันนี้เราจะมาสรุปเนื้อหาหนังสือเล่มนี้กันอีกครั้ง โดยจะนำเสนอในมุมมองที่ให้เข้าใจง่ายกว่าเดิม

บางคนอาจจะเริ่มบ่นกันแล้วว่าอะไรกัน เอาเนื้อหาเดิมๆมาฉายซ้ำๆฉันรู้หมดแล้วมันน่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ใช่ครับเนื้อหาหลายๆบทในเว็บนี้เคยมีการกล่าวซ้ำมาแล้ว มันอาจะน่าเบื่อซักหน่อยที่รับสารแบบเดิมๆ แต่เชื่อเถอะครับว่าเนื้อหาเหล่านี้หากรับซ้ำๆบ่อยๆมันจะซึมซับประทับลงในความเชื่อส่วนลึกของจิตใจ หรือจิตใต้สำนึกนั่นเอง

อย่าลืมว่าจุดประสงค์ของของเราคือการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากภายใน ซึ่งก็คือจากความคิดฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก แต่การที่จิตใต้สำนึกจะเชื่ออะไรได้ก็ต้องผ่านการสื่อสารจากตัวเราไปในช่วงเวลาที่จิตใต้สำนึกเปิดรับโดยไม่มีจิตสำนึกคอยขัดขวางด้วยการหาเหตุผลใดๆมาขัดแย้ง ซึ่งจะเป็นตอนเคล้มใกล้หลับ

หรืออีกวิธีหนึ่งคือ การคิดการพูดการบอกตัวเองในเชิงบวกซ้ำๆย้ำๆ (Affirmation หรือ Auto Suggestion) เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน จนเป็นความเชื่อในระดับจิตใต้สำนึกแล้วผลของความคิดความเชื่อนั้นจะค่อยๆปรากฏออกมาในโลกภายนอกผ่านพฤติกรรม การกระทำ การตัดสินใจ สถานการณ์ต่างๆจนเป็นความจริงตามที่เราเชื่อ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เว็บของเราจะมีเนื้อหาที่ดูเหมือนจะเคยกล่าวมาแล้ว

วันนี้ทางเราได้เตรียมเคล็ดลับจากหนังสือเล่มนี้ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไว้ 6 ข้อด้วยกัน

ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา เรามาทำเข้าใจวิธีการทำงานของจิตใต้สำนึกของคุณก่อน

ความแตกต่างระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก

เคล็ดลับข้อที่ 1 : ความแตกต่างระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก

จิตสำนึกนั้นเหมือนกับกัปตันเรือที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองเห็นทิศทางการเดินเรือและควบคุมทุกอย่าง ในทางกลับกันช่างที่รับผิดชอบเครื่องยนต์และอุปกรณ์อื่นๆในห้องเครื่องที่กลับมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่นอกเรือ พวกเขาอยู่ภายในเรือทำตามคำสั่งที่ได้รับจากกัปตันอีกที ช่างในห้องเครื่องก็เหมือนกับจิตใต้สำนึกนั่นเอง

พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน เพียงแต่ทำตามคำสั่ง หากกัปตันสั่งการผิดพลาด เรือก็อาจจะไปชนโขดหินได้ เหล่าวิศวกรเชื่อฟังคำสั่งกัปตันเพราะกัปตันเป็นผู้ควบคุมและควรจะเป็นผู้รอบรู้

ในตัวอย่างดังกล่าวหากเปรียบเทียบแล้วจิตสำนึกของคุณคือกัปตันประจำเรือซึ่งก็คือร่างกายและสภาพแวดล้อมของคุณ ส่วนจิตใต้สำนึกของคุณจะรับคำสั่งโดยยึดตามสิ่งที่จิตสำนึกเชื่อและยอมรับว่าเป็นความจริง

จิตใต้สำนึกจะไม่ตั้งคำถาม และไม่แยกแยะว่าความคิดของคุณดีหรือไม่ดี จริงหรือเท็จ แต่จะตอบสนองไปตามธรรมชาติของความคิดของคุณ

ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพอีกแบบจิตใต้สำนึกก็เหมือนกับดินที่เพาะปลูก ไม่ว่าจะหว่านเมล็ดพันธุ์อะไรลงไป เมล็ดพันธุ์นั้นก็จะงอกงาม

ดินไม่ได้ตัดสินว่าจะให้ความสำคัญกับเมล็ดมะม่วงมากกว่าเมล็ดอื่นๆ หรือมันจะสนใจว่าผลที่ออกมาจะเป็นอะไรขอให้ปลูกลงไปมันก็จะให้ผลตามนั้น กล่าวคือดินจะทำให้ทุกเมล็ดที่คุณปลูกเจริญเติบโตโดยไม่แยกแยะว่าคุณปลูกเมล็ดอะไรลงไป

จิตใต้สำนึกของคุณก็ไม่เข้าใจมุกตลก มันแยกไม่ออกมว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือล้อเล่น มันจะเชื่อตามที่คุณพูดอย่างไม่มีข้อแม้ เช่นหากนักสะกดจิตที่เชี่ยวชาญเอาน้ำเปล่าหนึ่งแก้วมาวางไว้ใต้จมูกของคุณ แล้วบอกคุณว่านี่คือน้ำพริกหนึ่งแก้วเต็ม แล้วจิตใต้สำนึกเชื่อตามนั้นคุณก็จะเริ่มจาม หรือถ้านักสะกดจิตบอกคุณว่าคุณคือแมวหรือสุนัข แล้วจิตใต้สำนึกของคุณเชื่ออย่างนั้นคุณก็จะเริ่มทำตัวเหมือนเป็นแมวหรือสุนัขจริงๆ

จิตใต้สำนึกของคุณไม่สามารถโต้แย้งหรือคัดค้านได้ หากคุณส่งข้อมูลที่ผิดเข้าไป มันจะยอมรับทุกอย่างว่าเป็นความจริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมถ้าคุณพูดกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “ฉันไม่มีเงินพอ” จิตใต้สำนึกจะเชื่อตามที่คุณพูด

ตราบใดที่คุณยังพูดต่อไปว่า “ฉันไม่มีเงินซื้อรถคันนั้น ไม่มีเงินพอไปเที่ยว ไม่มีเงินซื้อบ้าน” คุณก็มั่นใจได้เลยว่าจิตใต้สำนึกของคุณจะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัดแน่นอน ผลก็คือชีวิตคุณจะเต็มไปด้วยการขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ และคุณจะเชื่อว่าเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ คุณจะไม่นึกเลยว่าตัวคุณเองนั่นแหละที่สร้างสถานการณ์เหล่านี้ด้วยความคิดของตัวเอง

สิทธิ์ที่จะร่ำรวย

เคล็ดลับข้อที่ 2: คุณมีสิทธิ์ที่จะร่ำรวย

อย่าปล่อยให้ใครทำให้คุณรู้สึกละอายใจกับความปรารถนาของคุณที่จะร่ำรวย ความร่ำรวยไม่ใช่แค่สิ่งที่ดีธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่ดีมากๆเสียด้วย ความร่ำรวยเปรียบได้ว่าเมื่อเลือดไหลเวียนอย่างสะดวกในร่างกาย เลือดที่ไหลเวียนได้ดีแสดงว่าคุณมีสุขภาพดี

เงินก็เช่นเดียวกันกัน เมื่อเงินไหลเวียนได้อย่างสะดวกในชีวิตของคุณ นั่นแสดงว่าคุณมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับการมีสุขภาพทางการเงินที่ดี

ความยากจนต่างหากไม่ได้มีคุณค่าใดๆเลย แต่เป็นเหมือนความเจ็บป่วย หรือความผิดปรกติทางจิตชนิดหนึ่ง หากคุณเจ็บป่วยทางร่างกาย คุณจะตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับตัวคุณ คุณจะหาทางแก้ไขและพยายามรักษาอาการนั้นโดยทันที

เช่นเดียวกัน หากคุณไม่มีเงินพอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับคุณ แต่คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่ผิดปกตินั้น และทำไมคุณถึงไม่สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการ? สำหรับหลายๆ คน มีสามเหตุผลหลัก หรือเรียกได้ว่าสามอารมณ์ที่ฉุดรั้งพวกเขาจากความสำเร็จ

เหตุผลเหล่านี้คือ

เหตุผลที่หนึ่ง: ความอิจฉาริษยา

ไม่รู้ว่าคุณเคยเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ตอนเด็ก (หรือแม้แต่ตอนโตแล้ว) เห็นอื่นใช้ของแพงๆ ขับรถแพงๆ อยู่บ้านหรูๆ มีทุกอย่างที่คุณต้องการ แล้วคุณรู้สึกอิจฉา แล้วเริ่มพูดประมาณว่า “ไม่รู้หมอนี่ทำอะไรผิดกฎหมายถึงซื้อรถหรู มีบ้านแพงขนาดนี้” หรือ “ทำไมพวกหยิ่งๆ ถึงได้ขับรถแบบนี้แต่พวกเราไม่ได้”

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อิจฉาริษยาอะไรแบบนั้น ควรเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปโดยสิ้นเชิงอย่างเร่งด่วนเลย เหตุผลเพราะการคิดถึงเรื่องต่างๆ ด้วยความอิจฉานั้นมีผลเสียอย่างมาก

ความคิดแบบนั้นทำให้คุณอยู่ในจุดที่ไม่ดี ทำให้ความมั่งคั่งไหลออกจากตัวคุณแทนที่จะไหลเข้ามา หากคุณรู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญกับความสำเร็จหรือความมั่งคั่งของผู้อื่น แสดงว่าคุณกำลังผลักความมั่งคั่งนั้นออกไปจากตัวคุณ จำไว้ว่าคุณจะสูญเสียสิ่งที่คุณไม่เห็นคุณค่า และคุณจะไม่ได้สิ่งที่คุณกร่นด่า

คุณไม่สามารถดึงดูดสิ่งที่คุณวิพากษ์วิจารณ์หรืออิจฉาริษยา หากเปรียบเทียบกับโลกความเป็นจริงคือคุณจะอยู่กับแฟนที่คอยตำหนิคุณอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ แน่นอนว่าคำตอบคือไม่

ความมั่งคั่งก็เช่นกัน ความมั่งคั่งเปรียบเสมือนสาวสวย หากคุณเข้าไปวิจารณ์ความงามของเธอ คุณคิดว่าเธอจะยอมคุยกับเธอหรือไม่…แน่นอนว่าไม่ เธอจะคุยกับคนที่รู้วิธีชื่นชมความงามของเธอมากกว่า

หากคุณเคยคิดอิจฉาความมั่งคั่งของใคร ขอให้เลิกทำเช่นนั้นเพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง ความคิดที่คุณมีต่อคนอื่นนั้นเป็นเพียงความคิดของคุณเอง เพราะคุณเป็นคนคิดมันขึ้นมา ดังนั้นคุณจึงเป็นผู้ที่สร้างประสบการณ์ของคุณเองจากสิ่งที่คิดและรู้สึกเกี่ยวกับผู้อื่น คำแนะนำที่คุณให้คนอื่น จริงๆแล้วคุณกำลังให้แก่ตัวคุณเองด้วย เพราะจิตของคุณคือต้นกำเนิดของความคิดเหล่านั้น

เหตุผลข้อสอง: คุณพยายามมากเกินไป

สมมติว่ามีคนขอให้คุณเดินบนแผ่นไม้แคบๆ ที่วางอยู่บนพื้น คุณก็น่าจะทำได้ง่ายๆ โดยไม่ลังเล ตอนนี้ลองจินตนาการว่าแผ่นไม้เดียวกันนี้ถูกวางไว้สูง 50 เมตร ระหว่างกำแพงสองด้าน คุณจะยังทำอยู่ไหม? อาจจะไม่

ความปรารถนาที่จะเดินบนแผ่นไม้นั้นจะขัดแย้งกับจินตนาการของคุณ คุณอาจจะนึกภาพตัวเองตกลงมา คุณอาจอยากจะข้ามแผ่นไม้ไปมากๆ แต่ความกลัวการตกของคุณก็จะฉุดรั้งไว้ไม่ให้ทำได้ ยิ่งคุณพยายามเอาชนะจินตนาการของตัวเองมากเท่าไหร่ แนวคิดเรื่องการตกลงจากแผ่นไม่นั้นมากขึ้นเท่านั้น

ความคิดที่ว่า “ฉันจะใช้พลังใจเพื่อเอาชนะความล้มเหลว” นั้นจะนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างแน่นอน มันก็เหมือนกับการตัดสินใจว่าจะไม่คิดถึงฮิปโปสีเขียว การตัดสินใจแบบนั้นทำให้ในใจมีแต่ภาพฮิปโปสีเขียว

จิตใต้สำนึกจะตอบสนองต่อความคิดที่โดดเด่นมากกว่าเสมอ และเนื่องจากความคิดที่เด่นชัดของคนส่วนใหญ่คือความล้มเหลว นั่นจึงเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่คือจบลงด้วยความล้มเหลว แล้วต้นตอของปัญหานี้คืออะไร?

สาเหตุคือคุณพยายามมากเกินไป

อย่าพยายามบังคับจิตใต้สำนึกให้ยอมรับแนวคิดของคุณด้วยการบังคับจิตใจ ความพยายามเช่นนี้จะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน คุณจะได้ผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่ต้องการ วิธีการที่ไม่ต้องใช้แรงพยายามนั้นดีกว่า

อีกตัวอย่างคุณอาจคุ้นเคยกับสถานการณ์ดังต่อไปนี้ คุณเข้าห้องสอบและรู้สึกว่าตัวเองเตรียมตัวมาอย่างดี แต่พออยู่ต่อหน้ากระดาษคำถาม จิตใจของคุณกลับว่างเปล่า ความรู้ทั้งหมดที่คุณมีหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ คุณนึกไม่ออกแม้แต่ความคิดที่เกี่ยวข้อง ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ความรู้นั้นก็ยิ่งหนีคุณไปไกลเท่านั้น

พอคุณออกจากห้องสอบ ความกดดันทางจิตใจลดลง และทันใดนั้นคำตอบที่คุณพยายามนึกอย่างหนักเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็หลั่งไหลพรั่งพรูกลับเข้ามาเต็มหัว ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือคุณพยายามบังคับตัวเองให้จำให้ได้มากเกินไป

การผ่อนคลายเท่านั้นที่สามารถช่วยค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาหรือช่วยให้คุณมองหาหนทางเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่รู้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร และสามารถสัมผัสกับความสุขที่คุณจะรู้สึกได้หากคุณบรรลุเป้าหมายนั้นก็จะเป็นทางที่ทำให้จิตใต้สำนึกหาแนวทางแก้ปัญหาได้

ความรู้สึกและจินตนาการเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับจิตใต้สำนึก คุณจะต้องมีความรู้สึกเหมือนว่ามันสำเร็จแล้ว หากทำเช่นนั้นได้จิตใต้สำนึกของคุณจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาวิธีที่จะทำให้คุณเข้าถึงเป้าหมายนั้นตามที่คุณรู้สึก โดยคุณจะเริ่มมีไอเดียใหม่ๆ คุณจะเริ่มได้พบกับคนใหม่ๆ ได้มุมมองใหม่ๆ และเห็นแนวทางแก้ไขใหม่ๆ

การเปิดใจรับแนวทางแก้ไขปัญหาใหม่ๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก บางครั้งเราอาจจะยึดติดอยู่กับภาพลักษณ์ของคำตอบในอุดมคติมากเกินไป จนพลาดมองเห็นทางออกที่สมบูรณ์แบบซึ่งจิตใต้สำนึกได้นำเสนอเอาไว้แล้ว

เมื่อทำงานร่วมกับจิตใต้สำนึกจะต้องไม่ยึดติดอยู่กับแนวทางใดแนวทางหนึ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง การรู้ว่าจะไปถึงจุดหมายอย่างไรไม่ใช่หน้าที่ของคุณ หน้าที่ของคุณคือการรู้ว่าคุณกำลังจะไปไหน จิตใต้สำนึกของคุณจะหาเส้นทางที่ดีที่สุดเพื่อไปยังจุดนั้นเอง

ลองจินตนาการแบบนี้ เวลาคุณไปหาหมอ ก่อนอื่นคุณจะอธิบายว่าปัญหาคืออะไร จากนั้นคุณก็ฟังความเห็นของหมอใช่ไหม? คุณไม่ได้เสนอทางแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองหรอก หมอจะเป็นคนวินิจฉัยและบอกวิธีแก้ไขปัญหาของคุณ ถ้าคุณฉลาดและรู้วิธีแก้ไขขนาดนั้น คุณก็คงไม่ต้องมาหาหมอตั้งแต่แรกแล้ว

ถ้าคุณได้มาหาหมอแล้ว ก็แค่นั่งฟังสิ่งที่หมอแนะนำ การหาทางแก้ไขปัญหาเป็นหน้าที่ของหมอ ไม่ใช่ของคุณ ในทำนองเดียวกัน เมื่อคุณมอบหมายงานอะไรให้กับจิตใต้สำนึก ก็ให้เชื่อมั่นในพลังของมันและรับฟังสิ่งที่มันบอก

สาเหตุข้อที่สาม: ความกลัว

“ฉันมีความกลัว” ได้ยินประโยคนี้บ่อยมาก คุณอาจจะใช้คำยืนยันเชิงบวก (Affirmation) และทำการสร้างภาพในใจ (Visualization) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล นั่นอาจเป็นเพราะคุณยังหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่เต็มไปด้วยความกลัวหลังจากที่ยืนยันในเชิงบวกไปแล้วบางทีเพียงแค่ 10 นาที เท่านี้คุณก็ได้ลบล้างสิ่งดีๆ ที่คุณยืนยันกับตัวเองไปแล้ว

ลองจินตนาการว่าคุณขึ้นแท็กซี่และบอกให้คนขับพาคุณไปที่บ้าน แต่หลังจากเดินทางไปได้เพียงไม่กี่ร้อยเมตร คุณกลับบอกให้คนขับเปลี่ยนเส้นทางไปที่อื่น หลังจากนั้นไม่นาน คุณก็เปลี่ยนที่หมายอีกครั้ง หากคุณเปลี่ยนจุดหมายปลายทางอยู่เรื่อยๆ คนขับแท็กซี่ก็คงสับสน ถึงแม้เขาจะอยากทำตามคำสั่งของคุณแต่เขาก็อาจจะทำไม่ได้

ก็เหมือนกับตอนที่คุณกำลังทำงานกับพลังอันมหาศาลของจิตใต้สำนึก คุณต้องมีความคิดที่ชัดเจน คุณต้องตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกมีทางแก้

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีสอบหรือสัมภาษณ์งาน ส่วนใหญ่แล้วคุณอาจจะนึกถึงความล้มเหลว ผลก็คือความล้มเหลวคือสิ่งที่จิตใต้สำนึกนำมาสู่ความเป็นจริง ความกลัวทำให้เกิดประสบการณ์ของความล้มเหลว

นี่คือเทคนิคสำหรับเอาชนะความกลัว สมมุติว่าคุณกลัวการว่ายน้ำ ให้เริ่มด้วยการนั่งเงียบๆ 5-10 นาทีทำวันละ 3-4 ครั้ง ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายอย่างล้ำลึก จากนั้น จินตนาการว่าคุณกำลังว่ายน้ำอยู่ คุณรู้สึกถึงความเย็นของน้ำและการเคลื่อนไหวของแขนขาของคุณ มันคือกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างแจ่มชัด สมจริง และสร้างความสุขให้กับความคิดของคุณ

สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การฝันเฟื่อง คุณต้องเข้าใจว่าสิ่งที่คุณกำลังประสบอยู่ในจินตนาการจะถูกพัฒนาขึ้นในจิตใต้สำนึกของคุณ จะมีแรงผลักดันให้คุณให้แสดงออกแบบไม่รู้ตัวถึงภาพที่คุณสร้างขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ

ครั้งต่อไปที่คุณว่ายน้ำความสุขจะเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดกว่าและทำให้คุณทำมันได้สำเร็จ นี่คือกฎของจิตใต้สำนึก คุณสามารถใช้เทคนิคเดียวกันนี้เพื่อเอาชนะความกลัวอื่นๆ เช่น การสัมภาษณ์ การสอบ หรือการพูดในที่สาธารณะ หรือการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ

การสร้างภาพในใจ (Visualization)

เคล็ดลับข้อที่ 3: วิธีสร้างภาพเป้าหมายของคุณ

วิธีสร้างภาพที่ง่ายและชัดเจนที่สุดก็คือการมองเห็นเป้าหมายนั้นในใจของคุณอย่างแจ่มชัดราวกับว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ตอนนี้คุณอาจจะถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะมองเห็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง?

คำตอบคือ ได้ แน่นอน เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้นานก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ที่คุณใช้อยู่ตอนนี้ถึงมีตัวตนขึ้นได้ มีบางคนที่เห็นภาพของสิ่งเหล่านี้ก่อนที่ที่จะสร้างมันขึ้นมาได้

คุณอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “อย่านับลูกไก่ก่อนที่มันจะฟัก” แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์สามารถนับลูกไก่ได้นานก่อนที่มันจะฟักเสียอีก

สถาปนิกทำสิ่งนี้ตลอดเวลา พวกเขาเห็นภาพอาคารที่เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง อาจจะเป็นอาคารที่น่าเกลียดหรือสวยงาม แต่มันได้ถูกสร้างขึ้นก่อนด้วยการสร้างภาพในใจก่อน แล้วออกมาเป็นพิมพ์เขียว หรือโมเดลในคอมพิวเตอร์ และถูกสร้างออกมาเป็นของจริงตามนั้น ดังนั้นเราจึงบอกได้อย่างเต็มปากว่าเราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆในใจก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงได้

อันที่จริง การจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง โดยไม่ได้สร้างภาพหรือมองเห็นมันในใจก่อนนั้นถือเป็นเรื่องโง่เขลาเลยทีเดียว ลองจินตนาการว่าคุณเห็นชายคนหนึ่งกำลังสร้างอะไรบางอย่าง คุณถามเขาว่ากำลังสร้างอะไรอยู่

แล้วเขาตอบว่า “ผมไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังสร้างอะไร ผมแค่เอาอิฐมาวางซ้อนกันไปเรื่อยๆ แล้วหวังว่ามันจะออกมาเป็นอะไรสักอย่างที่ใช้ได้” คุณคิดว่าเขาคงเสียสติไปแล้วแน่ๆ

ดังนั้น การสร้างภาพและมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่สิ่งที่เป็นไปได้ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นด้วย เวลาที่ดีที่สุดในการสร้างภาพเป้าหมายของคุณคือก่อนนอนหรือหลังจากทำสมาธิ

เหตุผลก็คือเมื่อคุณอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายและง่วงนอน ความขัดแย้งระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกจะลดลง ซึ่งหมายความว่าจิตใต้สำนึกจะทำงานกับเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการสร้างภาพก่อนนอนคือคุณได้มอบหมายงานให้จิตใต้สำนึกของคุณทำขณะที่คุณหลับ หลายคนคิดว่าตัวเองเหนื่อยล้าในระหว่างวันและหลับไปเพื่อพักผ่อนร่างกาย

แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรหยุดพักระหว่างการนอนหลับ หัวใจ ปอด และอวัยวะสำคัญอื่นๆ ยังคงทำงานขณะที่คุณหลับ หากคุณรับประทานอาหารก่อนนอน อาหารนั้นก็จะถูกย่อย เล็บและผมของคุณก็ยังคงงอกยาวต่อไป

ในทำนองเดียวกัน จิตใต้สำนึกของคุณไม่เคยหยุดพักหรือหลับไหล มันทำงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อควบคุมพลังสำคัญทั้งหมดในตัวคุณ คุณใช้เวลาถึงหนึ่งในสามของชีวิตทั้งหมดไปกับการนอนหลับ และคำตอบมากมายสำหรับปัญหาของเราก็ผุดขึ้นมาขณะที่เรากำลังหลับ

บุคคลมีชื่อเสียงหลายคนเข้าใจเรื่องนี้และใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญ นิโคลา เทสลา และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถือเป็นเพียงส่วนน้อยจากคนดังอีกมากมาย

การแนะนำหนทางโดยจิตใต้สำนึก

เคล็ดลับข้อที่ 3 : วิธีรับคำแนะนำจากจิตใต้สำนึก

เมื่อคุณต้องตัดสินใจท้าทายหรือเมื่อคุณมองไม่เห็นทางแก้ไขปัญหา ให้เริ่มคิดอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องนั้นทันที หากคุณรู้สึกกลัวและกังวล แสดงว่าคุณไม่ได้คิดอย่างแท้จริง

การคิดที่แท้จริงจะต้องปราศจากความกลัว นี่คือเทคนิคง่ายๆ ที่คุณสามารถใช้เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องใดก็ได้:

  • ทำให้จิตใจสงบและร่างกายผ่อนคลาย บอกให้ร่างกายผ่อนคลาย โฟกัสความคิดไปที่การหาทางแก้ไขปัญหา พยายามแก้ไขมันด้วยจิตสำนึกของคุณ คิดถึงความสุขที่จะเกิดขึ้นหากคุณพบคำตอบที่สมบูรณ์แบบ รับรู้ถึงความรู้สึกที่คุณจะมีหากได้คำตอบที่สมบูรณ์แบบนั้นมา
  • ตอนนี้ ปล่อยให้จิตใจของคุณเล่นสนุกกับอารมณ์แห่งความสุขนี้อย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
  • เมื่อคุณตื่นขึ้นมาหากคุณยังไม่ได้คำตอบ ให้หาอย่างอื่นทำไปก่อน ในขณะที่คุณกำลังจดจ่อกับเรื่องอื่นๆ อยู่นั้น คำตอบก็อาจจะผุดขึ้นมาในหัวก็ได้ แต่คุณไม่ได้คำตอบชั่วข้ามคืนเสมอไป ดังนั้น จงทำต่อไปเชื่อมั่นว่าคุณจะได้คำตอบ
  • ตอนนี้ ให้รู้สึกถึงความสุขของการมีคำตอบนั้น เหมือนกับว่าคุณมีคำตอบที่สมบูรณ์แบบแล้ว

จิตใต้สำนึกของคุณจะตอบสนองต่อความรู้สึกของคุณ คำแนะนำจะมาในรูปของลางสังหรณ์ ความตระหนักรู้ภายใน ความรู้สึกหนักแน่นที่กระตุ้นให้คุณทำอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็มีไอเดียปิ้งขึ้นมาในใจจงเชื่อมั่นในความรู้สึกเหล่านี้และอย่าสงสัยในพลังของมัน

มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนใช้เทคนิคนี้เพื่อหาคำตอบหรือทางออกให้กับปัญหาของพวกเขาอย่างไร คุณสามารถเข้าไปดูได้ตามยูทูปหรือบทความอื่นๆเกี่ยวกับประสบการณ์ที่คนมีปัญหามาระยะหนึ่งพอปล่อยวางอยู่ๆก็สามารถทางออกของปัญญานั้นได้

การให้อภัย

เคล็ดลับข้อที่ 5 : วิธีใช้จิตใต้สำนึกเพื่อการให้อภัย

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ชีวิตพร้อมที่จะให้อภัยคุณเสมอ มันให้อภัยคุณเวลาที่มีดบาดนิ้วด้วยการรักษาบาดแผลให้หาย เวลาที่คุณโดนไฟลวกมันจะมอบผิวหนังและเนื้อเยื่อใหม่ให้คุณ ชีวิตไม่เคยผูกใจเจ็บกับคุณแต่ให้อภัยเสมอ

แต่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เรารู้สึกผิดไปหลายปีสำหรับสิ่งที่เราทำในอดีต เราโทษตัวเองและรู้สึกแย่ทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งที่เราทำหรือพูด เรามีหลายๆเรื่องในอดีตที่เราเสียใจและไม่สามารถให้อภัยตัวเองหรือผู้อื่นได้

บางทีคุณอาจพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พ่อแม่เสียใจมาก หรือทำสิ่งที่ไม่ควรทำกับเพื่อน เวลาผ่านมาหลายปี แต่คุณก็ยังรู้สึกแย่อยู่ ถ้าสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดถึงตรงกับประสบการณ์ของคุณ โปรดฟังอย่างตั้งใจ

นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าทุกเซลล์ในร่างกายของเราจะถูกแทนที่ทุกๆ 11 เดือน ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ แล้วนั่นหมายความว่าอะไร?

มันหมายความว่าคุณเกิดใหม่ในทุกๆ 11 เดือนในแง่ของชีวะวิทยา คนที่เคยทำอะไรผิดพลาดมาเมื่อหลายปีก่อนได้ตายจากไปแล้ว หากคุณยังคงทุกข์ใจกับสิ่งที่คุณเคยทำมานานแล้ว แสดงว่าคุณกำลังโทษคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

ลองตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้ หากคุณสามารถหวนกลับไปยังเหตุการณ์นั้นอีกครั้งวันนี้

  • คุณจะทำและพูดในสิ่งที่คุณเคยทำเมื่อหลายปีก่อนอีกไหม?
  • คุณคงจะไม่ทำใช่ไหม?
  • ถ้าเป็นอย่างนั้น การให้อภัยตัวเองและหยุดจมอยู่กับความทุกข์สำหรับความผิดพลาดของคนที่ตายจากไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุดมิใช่หรือ?

ใช้จิตใต้สำนึกเพื่อการเยียวยา

เคล็ดลับข้อที่ 6 : วิธีใช้จิตใต้สำนึกเพื่อการรักษา

หากคุณเป็นคนสร้างนาฬิกาขึ้นมา แล้ววันหนึ่งนาฬิกาเรือนนั้นก็หยุดทำงาน คุณน่าจะรู้วิธีซ่อมมันใช่ไหม?

จิตใต้สำนึกก็เหมือนกับช่างซ่อมนาฬิกา มันเป็นผู้สร้างร่างกายของคุณขึ้นมา และมันรู้ดีว่าจะซ่อมแซมและฟื้นฟูการทำงานที่สำคัญทั้งหมดของร่างกายคุณได้อย่างไร ไม่ว่าคุณจะหลับหรือตื่น จิตใต้สำนึกของคุณจะควบคุมทุกกระบวนการของร่างกายโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากจิตสำนึกของคุณ การเต้นของหัวใจ การหายใจ ฯลฯ

หากคุณถูกบังคับให้ควบคุมการทำงานของร่างกายด้วยจิตสำนึก คุณอาจจะตายภายในไม่กี่นาทีเพราะกระบวนการเหล่านี้มีความซับซ้อนมาก เครื่องปั๊มหัวใจและปอดที่ใช้ระหว่างการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ แต่กลไกลการทำงานของมันยังง่ายกว่าสิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณทำอยู่มากมายมหาศาล

ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันจิตสำนึกของคุณไม่สามารถควบคุมร่างกายของคุณได้ มันก็เปรียบได้กับการเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างยิ่งหากคุณนำคนธรรมดาเข้าไป ในห้องนักบินเครื่องบิน เขาจะไม่รู้ วิธีบังคับเครื่องบิน แต่เขากลับทำได้ก็คือรู้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของ นักบินและทำให้เกิดปัญหาได้อย่างแน่นอน

ในทำนองเดียวกัน ผลผลิตของ จิตสำนึก เช่น ความกังวล ความวิตกกังวล ความกลัว และความเศร้า จะรบกวนการทำงานตามปกติของหัวใจ ปอด และกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดปัญหา ความเครียด สร้างปัญหาให้กับการทำงานที่กลมกลืนกัน ของจิตใต้สำนึกของคุณ เมื่อคุณรู้สึกไม่สบายกายและจิตใจ

วิธีที่ดีที่สุดที่คุณทำได้คือการปล่อยวาง ผ่อนคลาย และชะลอความคิดของคุณให้ช้าลง เริ่มปกป้องจิตสำนึกของคุณราวกับบอดี้การ์ดที่เฝ้าประตู คอยดูความคิดทั้งหมดที่พยายามจะแทรกซึมเข้ามา โดยการอนุญาตให้เฉพาะความคิดเชิงบวกเท่านั้นที่เข้ามาได้

หล่อเลี้ยงจิตใต้สำนึกของคุณด้วยความคิดถึงความสุขสมดุลย์ในชีวิต สุขภาพ และความสงบ แล้วการทำงานทุกอย่างของร่างกายคุณจะดีขึ้น ให้จิตสำนึกของคุณยุ่งอยู่กับการคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และจิตใต้สำนึกของคุณจะสร้างความคิดแบบที่เป็นนิสัยขึ้นมาใหม่

ให้จินตนาการถึงตอนท้ายของแต่ละเรื่องที่มีความสุขหรือทางออกของปัญหา แล้วสัมผัสความตื่นเต้นกับความสำเร็จ ความรู้สึกว่ามีสุขภาพที่ดีจะก่อให้เกิดสุขภาพที่ดีจริง ๆ ความรู้สึกว่ามั่งคั่งจะก่อให้เกิดความมั่งคั่ง จงจำสิ่งนี้ไว้ตลอดเวลา

จิตใต้สำนึกของคุณยอมรับสิ่งที่คุณรู้สึกว่าเป็นความจริง จิตใต้สำนึกของคุณจะยอมรับความคิดหลักที่ครอบงำจิตใจอยู่เสมอ ดังนั้นความคิดหลักควรเป็นเรื่องสุขภาพและความมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ใช่ความยากจนหรือความเจ็บป่วย นี่คือข้อสรุปสุดท้ายจากหนังสือเล่มนี้

The Power of Your Subconscious Mind เป็นหนังสือที่ดีมากและคุ้มค่าที่จะอ่านอย่างลึกซึ้ง หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคุณจะได้เปิดประตูสู่โลกใหม่แห่งความเป็นไปได้ คุณจะได้เรียนรู้เทคนิคที่จะช่วยให้คุณสร้างชีวิตตามที่ปรารถนา นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวจากชีวิตจริงที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนใช้จิตใต้สำนึกเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างเหลือเชื่อ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *