ความคิด (Thought) และความเชื่อ (Belief) ของคุณมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการสร้างความเป็นจริงในชีวิตของคุณ มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าวิธีที่คุณคิดและสิ่งที่คุณเชื่อนั้นสามารถฉุดรั้งคุณไว้ หรือผลักดันคุณไปข้างหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและความฝันของคุณ
คุณคงจะถามว่า แล้วเราจะโน้มน้าวใจของเราให้มีความคิดและความเชื่อไปในทางที่จะผลักดันให้เราบรรลุสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี อยากเป็นได้อย่างไร?
ในเนื้อหาบทนี้ของเว็บเศรษฐี sedtee.com เราจะสำรวจกลยุทธ์และเทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้พลังแห่งจิตใจและปลดล็อกศักยภาพของคุณอย่างเต็มที่
คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความเชื่อมั่น
คุณเคยได้ยิน ได้อ่าน หรือได้ฟังผ่านหู คำว่า Neuroplasticity มาบ้างหรือเปล่า มันเป็นการค้นพบความจริงของสมองโดยนักวิทยาศาสตร์และชีวะวิทยา และอธิบายว่าสมองของเรามีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง
Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง ความสามารถพิเศษของสมองเราที่ เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และพัฒนา อยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนสมองของเราเป็นกล้ามเนื้อ ยิ่งใช้งาน ยิ่งฝึกฝน ก็ยิ่งแข็งแรง
ลองนึกภาพสมองของคุณเป็นเหมือนป่าที่มีต้นไม้อยู่มากมาย เส้นทางในป่าเปรียบเสมือนเซลล์ประสาท เมื่อเราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ก็เหมือนกับการ สร้างเส้นทางใหม่ ในป่า ยิ่งใช้งานเส้นทางบ่อย เส้นทางนั้นก็จะชัดเจน เดินทางได้สะดวก รวดเร็ว
ตลอดชีวิตของเรา Neuroplasticity พูดถึงความสามารถอันน่าทึ่งอย่างแท้จริงของสมองที่จะเชื่อมโยงตัวเองใหม่ สร้างเส้นทางประสาทใหม่เพื่อตอบสนองต่อความคิด ประสบการณ์ และพฤติกรรมของเรา
แล้วความสามารถที่น่าเหลือเชื่อนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับเรา?
พูดง่ายๆ ก็คือ การชี้นำความคิดของเราไปในทิศทางบวก มีความหวัง และสร้างสรรค์ จะช่วยปรับเปลี่ยนสมองเรา และส่งผลถึงโลกแห่งความเป็นจริงของเราได้อย่างแท้จริง
ต่อไปเราจะพูดคุยถึงพลังแห่งความเชื่อและการสร้างภาพความสำเร็จในใจ จากคำพูดอันเฉียบคมของเฮนรี่ ฟอร์ด “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้หรือทำไม่ได้ คุณคิดถูกแล้ว”
คำคมนี้แสดงถึงแก่นแท้ของพลังแห่งความเชื่อไว้อย่างฉงวน เมื่อเราเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าเราสามารถประสบความสำเร็จได้ จิตใจของเราจะหาวิธีเปลี่ยนความเชื่อนั้นให้กลายเป็นจริงให้ได้
ในอีกด้านหนึ่งการสร้างภาพในใจ คือการฝึกฝนที่มีพลังในการสร้างภาพที่ชัดเจนในความคิดเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เราต้องการ การสร้างภาพความสำเร็จในใจเปรียบเสมือนการซ้อมอย่างละเอียดในความคิดของคุณ มันช่วยเตรียมคุณสำหรับการแสดงจริงอย่างจริงจังและพิถีพิถัน
งานวิจัยต่างๆที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราสร้างภาพความสำเร็จอย่างต่อเนื่องสมองของเราจะเริ่มเชื่ออย่างแท้จริงว่าความสำเร็จไม่เพียงแต่เป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกด้วย สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ ความยืดหยุ่น และความมุ่งมั่นในการทำให้สำเร็จได้อย่างมาก

ด้วยการใช้พลังอันไร้ขอบเขตของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสมองดังกล่าว (ซึ่งก็คือ Neuroplasticity นั่นเอง) บวกกับความเชื่อที่แน่วแน่ และการฝึกการสร้างภาพในใจ คุณกำลังวางรากฐานที่แข็งแกร่งบนเส้นทางแห่งความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ ซึ่งสามารถนำคุณไปสู่การบรรลุทุกสิ่งที่คุณตั้งใจไว้ได้อย่างที่มุ่งหวังไว้
สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจและนำหลักการบางอย่างมาใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างแรกขอให้ระลึกไว้เสมอว่าระบบความเชื่อของเราเปรียบเสมือนพวงมาลัยชีวิต ที่คอยควบคุมทิศทางที่เราจะไป และท้ายที่สุดก็คือจุดหมายปลายทางที่เราจะไปถึง
ความเชื่อสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ ความเชื่อที่จำกัดตัวเอง (Limiting Belief) กับความเชื่อที่สร้างพลังอำนาจให้กับตัวเอง (Empowering Belief)
ความเชื่อที่จำกัดตัวเอง คือความคิดเชิงลบที่เรามีต่อตัวเราเอง ซึ่งจะจำกัดศักยภาพและขัดขวางการเติบโตของเรา บ่อยครั้งที่ความเชื่อเหล่านี้ถูกฝังลึกในช่วงวัยที่เรากำลังพัฒนาตัวเอง และเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะหยั่งรากลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราโดยที่เราแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ตัวอย่างของความเชื่อที่จำกัดตัวเอง ที่คนส่วนมากจะมีกัน ได้แก่
- “เงินคือต้นเหตุของความชั่วร้ายทั้งหมด” ความคิดนี้เชื่อมโยงเงินกับคุณสมบัติเชิงลบ เช่น ความโลภและการทุจริต มันอาจทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงความร่ำรวยโดยไม่รู้ตัว หรือรู้สึกผิดต่อการแสวงหาเงินทอง
- “ฉันบริหารเงินไม่เก่ง ฉันไม่เก่งเรื่องเงิน” ความคิดนี้มักเกิดจากการขาดความรู้ด้านการเงิน หรือประสบการณ์เชิงลบเกี่ยวกับเงินในอดีต มันสามารถสร้างคำทำนายที่เป็นจริงในแง่ของการตัดสินใจทางการเงินที่ไม่ดี และความรู้สึกไร้ประสิทธิภาพในการจัดการเงิน
- “คนรวย ส่วนใหญ่คือ คนโลภ คนไม่ดี คนไม่ซื่อสัตย์ หรือคนที่ไปโกงคนอื่นมา” ความคิดนี้เหมาเอาทั้งกลุ่มคน ฐานะทางการเงินของพวกเขา มันสามารถสร้างความขัดแย้งภายในระหว่างความปรารถนาความร่ำรวยกับการรับรู้ว่าเป็น “คนดี” เพราะอุดมคัตเหล่านั้นอาจดูเหมือนเข้ากันไม่ได้
- “ฉันจะไม่มีวันรวย/ฉันไม่คู่ควรที่จะร่ำรวย” สิ่งนี้สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในตัวเองที่ต่ำ และความเชื่อที่ว่าความร่ำรวยนั้นสงวนไว้สำหรับคนอื่น มันสามารถป้องกันไม่ให้ใครบางคนดำเนินการเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง โดยคิดว่าความพยายามดังกล่าวไร้ประโยชน์ ความคิดนี้ถือว่าเป็นความคิดแง่ลบที่มีพลังทำลายสูงที่สุดมันคือความคิดที่ฉุดรั้งไม่ให้คุณเจริญก้าวหน้าและมั่งคั่งร่ำรวย ดังนั้นต้องกำจัดความคิดนี้ออกไปจากระบบความเชื่อให้สิ้นซาก
- “คุณต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน” ในขณะที่การทำงานหนักเป็นสิ่งสำคัญ ความคิดนี้สามารถลดบทบาทของการคิดเชิงกลยุทธ์ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากร และการเสี่ยงอย่างมีคำนวณ มันสามารถนำไปสู่วิธีคิดแบบกัดฟันโดยไม่มีความก้าวหน้ามากนัก
- “ฉันไม่เก่งพอ มันยากเกินไปสำหรับฉัน ฉันทำไม่ได้เหมือนเขา” ความคิดนี้เป็นการจำกัดตัวเอง ดูถูกความสามารถของตัวเอง และไม่เชื่อในศักยภาพของตัวเอง และคิดว่าการจะได้มาสิงที่ต้องการนั้นต้องยาก เหนื่อย และเกินความสามารถ ความคิดแบบนี้จึงเอาไว้ป้องกันตัวเองไม่ให้ต้องเข้าไปผ่านสถาการณ์ยากๆเหล่านั้น แต่ก็แน่นอนที่สุดมันทำให้คุณไม่ก้าวไปข้างหน้า ไม่เจริญ และสุดท้ายไม่สามารถร่ำรวยอยากที่อยากรวยได้
นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น หากคุณมีความเชื่อเหล่านี้อยู่ในหัว ขอให้บอกกับตัวเองวันนี้เลยว่า คุณจะกำจัดความเชื่อเหล่านี้ทิ้ง ต่อไปจะมีความเชื่อแบบนี้อีก คุณอาจจะถามต่อ “แล้วมีวิธีกำจัดมันอย่างไร” เราจะมาค้นหากันในหัวข้อต่อๆไป
ในทางกลับกัน ความเชื่อที่สร้างพลังอำนาจให้กับตัวเอง คือคำยืนยันเชิงบวก (Affirmation) ที่ยกระดับเรา เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง และผลักดันเราไปสู่เป้าหมาย เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ของเราที่คอยผลักดันเราไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และสร้างแรงจูงใจที่จำเป็นเพื่อเอาชนะอุปสรรคใดๆ ที่ขวางทางความเชื่อที่สร้างพลังอำนาจ
ตัวอย่างของความเชื่อที่สร้างพลังให้กับตัวเอง ได้แก่
- “เงินเป็นเครื่องมือเพื่อความดี” ความคิดนี้เปลี่ยนมุมมองของเงินเป็นทรัพยากรที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวก สนับสนุนสิ่งที่คุณใส่ใจ และมีส่วนร่วมต่อชุมชนของคุณ มันเปลี่ยนโฟกัสจากเพียงแค่การสะสม ไปสู่การใช้เงินอย่างมีประโยชน์
- “ฉันมีความสามารถ ฉันสามารถเรียนรู้การทำธุรกิจ และวิธีบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพได้” สิ่งนี้ปลูกฝังความรู้สึกควบคุมและริเริ่ม มันยอมรับพลังของการศึกษาและการพัฒนาทักษะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน โดยไม่คำนึงถึงจุดเริ่มต้นของคุณ
- “ความมั่งคั่งเกิดขึ้นจากการสร้างคุณค่า” สิ่งนี้มุ่งเน้นพลังของคุณไปที่การมอบคุณค่าให้กับผู้อื่น ผ่านงาน ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณ มันเน้นย้ำถึงวิธีคิดแบบการมีส่วนร่วม มากกว่าแค่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
- “ฉันคู่ควรกับความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งร่ำรวย” สิ่งนี้ต่อสู้กับความรู้สึกไม่คู่ควรหรือขาดแคลน มันยืนยันคุณค่าของคุณในการมีชีวิตที่สมบูรณ์และมั่นคงทางการเงิน
- “ความมั่งคั่งสามารถเติบโตได้ผ่านการลงทุนอย่างชาญฉลาดและการตัดสินใจอย่าง” สิ่งนี้ส่งเสริมมุมมองเชิงกลยุทธ์ เน้นย้ำความสำคัญของความรู้ด้านการเงินและศักยภาพของผลตอบแทนทวีคูณในอนาคต
- “การมีเงินทำให้ฉันมีอิสระและทางเลือก” สิ่งนี้เชื่อมโยงการสร้างความมั่งคั่งกับเป้าหมาย เช่น ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ความมั่นคง และความสามารถในการไล่ตามความฝันของคุณ และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
ความเชื่อลักษณ์ะนี้จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเดินทางของเรา มันช่วยหล่อเลี้ยงความมุ่งมั่นที่แน่วแน่และความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนในความสามารถของเรา ทำให้พิชิตความท้าทายสุดหินที่รออยู่ข้างหน้าได้
แล้วเราจะเปลี่ยนความเชื่อที่จำกัดตัวเองให้กลายเป็นความเชื่อที่สร้างพลังได้อย่างไร?
คำตอบคือ มีดังนี้
- มันเริ่มต้นที่การรู้จักตัวเอง สำรวจตัวเองและค้นหาความเชื่อเชิงลบที่คอยฉุดรั้งคุณไว้ บันทึกมันไว้และท้าทายความถูกต้องของมัน
- ถามตัวเองว่าความเชื่อนี้มาจากข้อเท็จจริงหรือแค่การรับรู้ของคุณเอง
- จากนั้นแทนที่มันด้วยคำยืนยันเชิงบวก
โปรดจำไว้ว่าจิตใจของคุณเปรียบเหมือนสวน และความคิดของคุณคือเมล็ดพันธุ์ ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดบวก รดน้ำมันด้วยคำยืนยัน และคุณจะเก็บเกี่ยวผลผลิตแห่งความสำเร็จและความสมหวังได้อย่างมากมาย
การสร้างภาพสิ่งที่คุณต้องการในใจ (Visualization) เป็นอีกเครื่องมือทรงพลังในคลังแสงแห่งความสำเร็จ
ลองจินตนาการว่าจิตใจของคุณเป็นเครื่องฉายภาพอันทรงพลัง และความคิดของคุณเป็นเหมือนฟิล์มภาพยนตร์ สิ่งที่คุณฉายขึ้นบนจอภาพแห่งชีวิตของคุณ มักจะเป็นสิ่งที่คุณได้แสดงออกอย่างชัดเจน
แล้วเราจะควบคุมพลัง Visualization อันทรงพลังนี้ได้อย่างไร?
ประการแรก การระบุเป้าหมายของเราอย่างชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเรามีวิสัยทัศน์ที่เฉพาะเจาะจงและละเอียดมากเท่าไหร่ จิตใจของเราก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างชัดเจนมากเท่านั้น ลองนึกถึงมันเหมือนกับการที่คุณต้องระบุจุดหมายปลายทางที่แน่นอนให้ GPS ภายในตัวคุณ
ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างภาพความสำเร็จขึ้นในใจ มองเห็นตัวคุณเองที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ สัมผัสความสุข ความพึงพอใจ ชัยชนะ นี่ไม่ใช่แค่การฝันกลางวัน แต่มันคือการกระทำที่มุ่งเน้นและตั้งใจจะมองเห็นความสำเร็จของคุณก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ
การฝึกการสร้างภาพในใจ (visualization) นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคนิคสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังมีรากฐานมาจากหลักการทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าสมองของเราไม่ได้แยกแยะความต่างระหว่างประสบการณ์จริงกับประสบการณ์สมมติ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนสร้างเส้นทางประสาทที่ส่งผลต่อการกระทำและพฤติกรรมของเรา สรุปเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆคือ ภาพที่สมองเห็นและส่งไปยังจิตใต้สำนึกนั้น สมองแยกไม่ออกหรอกว่ามันคือเรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติ มันจะส่งไปแบบที่มันเห็น และจิตใต้สำนึกจะตีความตามที่มันได้รับ
ตัวอย่างเช่น คุณสร้างภาพในใจอย่างชัดเจนว่าคุณร่ำรวย มีเงินเยอะ (ระบุจำนวนเงิน) มีบ้านสวย มีรถหรู มีครอบครัวที่อบอุ่น คุณทำเช่นนี้อยู่เรื่อยๆต่อเนื่องกัน จิตไต้สำนึกได้รับภาพนี้ซ้ำๆเรื่อยๆก็จะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง มันก็จะพยายามทำทุกวิถีทางให้มันเป็นจริงในชีวิตคุณ
และก็แน่นอนมันไม่ได้เสกให้คนจากอากาศแน่ๆ แต่มันจะส่งพลัง ทำให้คุณทำแบบนี้ได้
- เพิ่มพลังภายในให้คุณมีความคิดในเรื่องการหาเงินได้มีประสิทธิภาพขึ้น
- คุณอาจจะอยากตื่นเช้าขึ้น มีพลังในการต่อสู้มากขึ้น มีความกล้าที่จะคุยกับคนแปลกหน้าหรือเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมบ่อยขึ้น
- ผลักดันให้คุณเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่คุณจะได้โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
- บางครั้งมันจะส่งความคิดดีๆไอเดียเจ๋งๆแบบที่คุณเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
- คุณอาจจะมีความสามารถในการแยกแยะโอกาสที่เข้ามาได้ดีขึ้น
- จากที่เคยชอบเที่ยวเตร่ เสียเวลาไปวันๆ คุณรู้สึกว่าอยากใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ อยากเรียนรู้มากขึ้น คุณก็เลยอ่านหนังสือมากขึ้น เข้าสัมนา ฟัง pod cast หรือดูวีดีโอ YouTube ที่มีประโยชน์มากขึ้น
- บางครั้งอาจจะมีเสียงกระซิบจากภายในให้คุณทำบางสิ่งบางอย่างที่ตัวคุณเองก็ไม่เข้าใจ แต่หลังจากทำมันแล้วปรากฏว่ามันส่งผลดีอย่างมหาศาล
นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยเท่านั้นที่จิตใต้สำนึกผลักดันให้คุณทำได้แบบที่ตัวคุณเองแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ่ำ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่คุณสร้างภาพในใจ
อย่างไรก็ตาม การมองเห็นความสำเร็จไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นนิสัยที่คุณต้องฝึกฝนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคุณ เหมือนกับการแปรงฟันหรือรับประทานอาหารเช้า ยิ่งคุณฝึกสร้างภาพในใจบ่อยครั้งเท่าไหร่ เส้นทางประสาทเหล่านี้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งและฝังแน่นมากขึ้นเท่านั้น
จำคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ให้ขึ้นใจ “จินตนาการคือทุกสิ่ง มันคือตัวอย่างของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตข้างหน้า”
การสร้างภาพในใจก็เปรียบเสมือนจินตนาการในการทำงาน ช่วยคุณสร้างพิมพ์เขียวสู่ความสำเร็จ อย่าประเมินพลังของมันต่ำไป
คำยืนยันเชิงบวก (Affirmation)
ตอนนี้เรามาเจาะลึกดินแดนแห่งการยืนยันเชิงบวกกันดีกว่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้เราตั้งโปรแกรมจิตใต้สำนึกของเราใหม่ได้
คำยืนยันเชิงบวก (Affirmation) เป็นข้อความเชิงบวกที่เราย้ำเตือนตัวเองอย่างมีสติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งอิทธิพลต่อจิตใต้สำนึกของเรา โดยทั่วไป คำกล่าวเหล่านี้จะสะท้อนถึงความเป็นจริงที่เราปรารถนาจะสร้างขึ้น
ลองนึกถึงคำยืนยันเชิงบวกเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ถูกปลูกลงบนดินจิตใต้สำนึกของคุณ เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความเชื่อและการทำซ้ำ เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะเติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผลลัพธ์เชิงบวกที่คุณปรารถนาจะบรรลุ
สิ่งที่น่าสนใจคือ คล้ายกับการสร้างภาพในใจ (Visualization) วิทยาศาสตร์ได้ยืนยันประสิทธิภาพของคำยืนยันเชิงบวกแล้ว การวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการย้ำคำยืนยันบ่อยๆ สามารถเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อของใยประสาทในสมองได้
หลักการนี้ง่ายมาก สมองของเราทำงานโดยอิงตามการใช้งาน บ่อยแค่ไหนก็ยิ่งแข็งแรงขึ้น ยิ่งเราเสริมความคิดหรือความเชื่อใด ๆ มากเท่าไหร่ เครือข่ายของเส้นประสาทที่รองรับความเชื่อนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น กล่าวได้ว่า การยืนยันเป็นเหมือนการเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ของจิตใจของเรา เปลี่ยนรูปแบบความคิด การรับรู้ตนเอง และในที่สุดก็คือการกระทำและพฤติกรรมของเรา
หลักธรรมอันชาญฉลาดนี้ ได้รับการสรุปไว้อย่างลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้า “เราจะเป็นในสิ่งที่เราคิด” เช่นเดียวกับการสร้างภาพจินตนาการ การยืนยันเชิงบวกนั้นไม่ใช่กลอุบายที่จะสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แต่จำเป็นต้องหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ และกล่าวออกมาด้วยความเชื่อมั่น ยิ่งคุณยืนยันมากเท่าไหร่ ถ้อยคำเหล่านั้นก็จะยิ่งฝังรากลึกลงสู่จิตใต้สำนึกมากเท่านั้น และท้ายที่สุดจะหล่อหลอมความเป็นจริงที่คุณดำรงอยู่
เรามาดูตัวอย่างคำยืนยันในเชิงบวก (Affirmations) ที่
- “ฉันเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงิน”
- “รายได้ของฉันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
- “ฉันคู่ควรกับความมั่งคั่งร่ำรวย”
- “ฉันจัดการเงินของฉันอย่างชาญฉลาด”
- “ความมั่งคั่งไหลมาสู่ฉันอย่างง่ายดาย”
- “ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตของฉัน”
เมื่อคุณรู้เช่นนี้แล้วก็เริ่มกล่าวคำยืนยันในเชิงบวกตั้งแต่วันนี้เลย
เทคนิคการฝึกจิตใจ
มาถึงตรงนี้แล้วคุณพร้อมหรือยังที่จะผจญภัยเข้าสู่โลกแห่งเทคนิคอันทรประสิทธิภาพ ที่จะช่วยฝึกจิตใจของคุณไปสู่ความสำเร็จ
เทคนิคเหล่านี้เรียบง่ายทว่าทรงพลัง สามารถนำไปใช้ในกิจวัตรประจำวันได้อย่างง่ายดาย และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างแท้จริง เพื่อความไม่ซับซ้อนแลไม่วุ่นวายเราจะขอแนะนำเทคนิคที่ได้ผลอย่างยิ่งยวด 2 เทคนิคด้วยกัน
1) การทำสมาธิ
การทำสมาธิเป็นการฝึกฝนที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน ย้อนกลับไปได้หลายพันปี เป็นเทคนิคง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง เกี่ยวข้องกับการจดจ่อความสนใจและลดทอนความคิดฟุ้งซ่านที่เข้ามาเบียดเบียนจิตใจของคุณ
การฝึกนี้เปรียบเสมือนการจัดห้องของคุณให้เป็นระเบียบ การลดความยุ่งเหยิงในพื้นที่สมองเพื่อสร้างพื้นที่ให้กับความชัดเจนและการมีสมาธิ เช่นเดียวกับที่คุณจะไม่ลงวิ่งมาราธอนโดยไม่ฝึกฝน การทำสมาธิก็เป็นเสมือนการฝึกซ้อมสำหรับจิตใจของคุณ
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด การทำสมาธิในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการนั่งภาวนา สวดมนต์ หรือท่องมนต์คาถาต่างๆ (แต่ถ้าคุณจะทำก็ไม่มีปัญหาอะไร) การทำสมาธิในที่นี้ไม่ได้ผูกกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง คุณสามารถทำสมาธิไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม
การทำสมาธิในที่นี้หมายถึงการอยู่ในความสงบ นั่ง หรือเอนตัวแบบสงบๆ (พยายามอย่านอนเพราะจะทำให้คุณหลับไปก่อน) แล้วทำใจให้สงบ ปล่อยวางทุกอย่าง ไม่คิดเรื่องที่ทำให้ฟุ้งซ่าน ทบทวนระลึกถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านในวันนี้หรือวันที่ผ่านมา นึกถึงสิ่งดีๆที่คุณทำและได้รับ คุณอาจจะสร้างภาพในใจ(Visualization) หรือกล่าวคำยืนยันในเชิงบวก (Affirmation) ในตอนนี้ก็ได้
การฝึกสมาธิช่วยเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการเดินทางอันยาวไกลข้างหน้า การทำสมาธิ มอบความรู้สึกสงบ ความเงียบในใจ และความรู้ตัว ช่วยยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม และปลดล็อกศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ขึ้นภายในตัวคุณเอง ยอมรับการฝึกฝนโบราณนี้และค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่แฝงอยู่
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนประสิทธิภาพของการทำสมาธิอย่างกว้างขวางในการเพิ่มสมาธิและความชัดเจนทางจิตใจ จากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การทำสมาธิได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกต่อโครงสร้างสมอง ทำให้มีช่วงเวลาสนใจที่ยาวนานขึ้น รวมถึงลดระดับความวิตกกังวลและความเครียด
ข้อค้นพบเหล่านี้เน้นย้ำถึงประโยชน์อันลึกซึ้งที่การทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอสามารถนำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของเรา
2) การเขียนบันทึก
ต่อไปนี้ มาเจาะลึกพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเขียนบันทึก หมายถึงการจดบันทึกไว้ในสมุดพก ในแลปท๊อป ในแทปเล็ต ในพื้นที่ส่วนตัวออนไลน์ หรือ App บันทึกต่างๆ
คุณอาจสงสัยว่าการเขียนไดอารี่ง่ายๆ จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร ไม่ใช่แค่การจดความคิดแบบสุ่ม แต่เป็นการตั้งเป้าหมาย ความฝัน และแรงบันดาลใจลงบนกระดาษอย่างมีสติ การเขียนเป้าหมายของคุณก็เหมือนกับการเซ็นสัญญากับตัวคุณเอง
สัญญาที่สร้างความเชื่อมั่นอันแน่วแน่และความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ มอบของขวัญแห่งการเขียนบันทึกให้กับตัวคุณเองและเป็นประจักษ์พยานถึงการเติบโตและความก้าวหน้าอันเหลือเชื่อที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาคุณ
ยิ่งไปกว่านั้นการเขียนบันทึกยังเป็นเครื่องมือสร้างภาพที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยให้คุณวาดภาพความจริงที่คุณปรารถนาด้วยคำที่ประดิษฐ์อย่างสวยงาม
นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดการสะท้อนตนเองอย่างลึกซึ้ง ทำให้คุณสามารถติดตามความคืบหน้าของคุณได้อย่างพิถีพิถัน เฉลิมฉลองความสำเร็จ และระบุจุดสำคัญสำหรับการปรับปรุง
สุดท้ายนี้ ขอให้คำนึงถึงภูมิปัญญาของสุภาษิตโบราณที่ว่า คุณคือค่าเฉลี่ยของคนห้าคนที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุด
คำกล่าวอันทรงพลังนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของสภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์ของคุณในการหล่อหลอมไม่เพียงแต่ทัศนคติและความเชื่อของคุณเท่านั้นแต่ยังรวมถึงความเป็นจริงสูงสุดของคุณด้วย มันยังเป็นเครื่องเตือนใจให้เลือกคบเพื่อนอย่างชาญฉลาดและอยู่ท่ามกลางอิทธิพลเชิงบวกที่สามารถช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนา เพื่อฝึกฝนจิตใจให้ประสบความสำเร็จ
การอยู่ท่ามกลางความคิดเชิงบวกนั้นสำคัญอย่างยิ่ง จงแสวงหาอิทธิพลเชิงบวก บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้น และยกระดับคุณ สร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่เต็มไปด้วยคำยืนยัน คำพูดสร้างแรงบันดาลใจ และสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงเป้าหมายและแรงบันดาลใจของคุณอย่างลึกซึ้ง
จำไว้เสมอว่าสภาพแวดล้อมของคุณเป็นภาพสะท้อนโดยตรงของจิตใจคุณ และจิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยความคิดเชิงบวกเป็นพื้นฐานอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการบรรลุความสำเร็จและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในทุกด้านของชีวิต ตอนนี้ด้วยเทคนิคเหล่านี้ คุณพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นการเดินทางอันเหลือเชื่อในการฝึกจิตใจของคุณให้บรรลุทุกสิ่งที่คุณตั้งใจไว้
การเอาชนะอุปสรรคต่างๆระหว่างการไล่ตามความฝันของคุณ
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพบเจอกับอุปสรรค อุปสรรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งหลายคนต้องเผชิญคือการจัดการกับความสงสัยและความกลัว แขกที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้มักจะมาเยือนเมื่อเราก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยและกล้าที่จะตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือข้อสงสัยไม่ได้บ่งบอกถึงความไร้ความสามารถ แต่เป็นสัญญาณว่าจิตใจของคุณกำลังต่อสู้กับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เหมือนเรือที่ฝืนกระแสน้ำของแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ เมื่อข้อสงสัยมาเคาะประตู ให้ตอบด้วยคำยืนยันใหม่
เทคนิคการสร้างภาพและความมุ่งมั่นที่ไม่หยุดยั้ง ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า “ฉันทำได้และฉันจะทำ” ใช้ความสงสัยของคุณเป็นตัวเร่งเพื่อเสริมสร้างความตั้งใจและผลักดันคุณไปสู่เป้าหมายของคุณต่อไป จำไว้ว่าทุกความท้าทายที่คุณเอาชนะและทุกความสงสัยที่คุณพิชิตได้นั้นคือก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางสู่ความสำเร็จของคุณ
ยอมรับการเติบโตที่มาจากการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวของคุณ และปล่อยให้มันเสริมพลังให้คุณไปถึงจุดสูงสุดใหม่ เช่นเดียวกับข้อสงสัยและความกลัวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการปฏิเสธและความล้มเหลว เมื่อเผชิญกับการปฏิเสธ สิ่งสำคัญคือต้องมองว่ามันไม่ใช่ทางตัน แต่เป็นการเปลี่ยนเส้นทาง
แต่ละครั้งที่คุณได้รับคือก้าวที่นำคุณเข้าใกล้คำว่าใช่ที่ปรารถนา จำไว้ว่าทุกการปฏิเสธเป็นเพียงทางอ้อม ไม่ใช่สิ่งกีดขวางในเส้นทางของคุณ สำหรับความล้มเหลวนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าโอกาสในการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น Alexander Graham Bell เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อประตูหนึ่งปิดลง อีกบานหนึ่งจะเปิดออก แต่เรามักจะมองยาวนานและเสียใจมาก
บนประตูที่ปิดนั้น เราไม่ได้เห็นประตูที่เปิดไว้ให้เรา ในทำนองเดียวกัน ความล้มเหลวแต่ละครั้งให้ข้อเสนอแนะอันล้ำค่า ช่วยให้คุณปรับแต่งแนวทางของคุณและนำคุณเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เมื่อมองว่าการปฏิเสธเป็นการเปลี่ยนทิศทาง และความล้มเหลวเป็นก้าวสำคัญเชิงให้ข้อมูล คุณจะสามารถเอาชนะอุปสรรคใดๆ ที่ขวางทางคุณได้ ยอมรับประสบการณ์เหล่านี้เพราะมันหล่อหลอมคุณ และปล่อยให้มันเติมพลังให้กับความมุ่งมั่นของคุณในการไปถึงจุดสูงสุดใหม่ เชื่อมั่นในกระบวนการและเชื่อในความยืดหยุ่นของคุณ
เส้นทางอาจจะท้าทาย แต่ทุกก้าวไปข้างหน้าคุ้มค่าที่จะเดินต่อไป ผลักดันต่อไป เติบโตต่อไป และมุ่งมั่นสู่ความยิ่งใหญ่ต่อไป ความสำเร็จรอคุณอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ดังนั้นอย่ายอมแพ้ในความฝันของคุณ
การสร้างนิสัย และความสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอสร้างรากฐานของความสำเร็จ ดุจดังแม่น้ำที่กัดเซาะผ่านหิน ไม่ใช่เพราะพลังของมัน แต่เป็นเพราะความคงอยู่ของมัน ความสำเร็จก็เช่นกัน เป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องที่มุ่งสู่เป้าหมายของคุณ กิจวัตรประจำวันเป็นหัวใจสำคัญของความสม่ำเสมอนี้
กิจวัตรประจำวันช่วยจัดระเบียบวิธีการดำเนินชีวิตของคุณให้มีแบบแผน ช่วยให้คุณใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิผล ขณะที่คุณค่อยๆ รวมกิจวัตรเหล่านี้เข้ากับชีวิต กิจวัตรเหล่านั้นก็จะกลายเป็นนิสัย เป็นระบบนำทางอัตโนมัติที่ช่วยนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จ แม้ในวันที่คุณอาจจะขาดแรงจูงใจ อย่างไรก็ตาม การสร้างและรักษานิสัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จำเป็นต้องมีวินัยในตนเองและความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ “เหตุผล” เบื้องหลังการสร้างนิสัยนี้ แล้วเราจะสร้างและรักษานิสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร
นี่คือคำแนะนำบางประการ
- เริ่มต้นจากเล็กน้อย เริ่มด้วยงานที่จัดการได้ง่ายๆ ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้ในระยะยาว
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการดำเนินนิสัยของคุณต่อไปแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
- ต้องสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ คงนิสัยของคุณไว้แม้ในช่วงเวลาที่คุณไม่รู้สึกอยากทำ
- ให้รางวัลตัวเอง ให้รางวัลตัวเองเมื่อคุณยึดมั่นในนิสัยของคุณ การเสริมแรงทางบวกนี้สามารถทำให้แรงจูงใจของคุณดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
- จำไว้ว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียว มันคือการก้าวเล็กๆ ที่ดำเนินไปทุกวันที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่มหาศาลในระยะยาว
การสะท้อนความคิด
การสะท้อนความคิดคือการคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ย้อนกลับในประเด็น เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องนั้นให้เป็น การเรียนรู้และความรู้
การสะท้อนความคิดเปรียบเสมือนการถือกระจกส่องดูตัวตนภายในของคุณ และยอมรับการกระทำ การตัดสินใจ รวมถึงผลลัพธ์ที่ตามมา การมีส่วนร่วมในการสะท้อนความคิดช่วยให้คุณเจาะลึกความคิดและอารมณ์ของคุณเองได้มากยิ่งขึ้น
เข้าใจจุดแข็งของคุณ ตระหนักถึงจุดที่ต้องพัฒนา และท้ายที่สุด ส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคล ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้: คุณยังเป็นคนเดิมอยู่หรือไม่?
คุณในปีที่แล้วเป็นผู้สร้างตัวคุณในวันนี้ ประสบการณ์หล่อหลอมคุณมาอย่างไร และคุณได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง? นี่คือคำถามที่การสะท้อนความคิดจะช่วยตอบได้ กระบวนการสะท้อนความคิดนั้นคล้ายกับการปอกหัวหอม ทุกชั้นที่คุณปอก คุณจะยิ่งเข้าใจตัวเองมากขึ้น
ในทางกลับกัน คำติชม (feedback) เปรียบเสมือนตัวตรวจสอบความเป็นจริง มันให้มุมมองจากคนนอกเกี่ยวกับการกระทำของคุณ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นมุมมองจากที่สูง คำติชมไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์หรือคำยกย่องสรรเสริญ ล้วนมีค่ามากในการชี้นำการกระทำและการตัดสินใจที่ตามมาของคุณ
มันช่วยให้คุณปรับตัวและพัฒนาตามประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง ลองนึกภาพการเดินอยู่ในเขาวงกตพร้อมกับแผนที่ที่ได้รับการอัพเดทตามทุกการเคลื่อนไหวของคุณ นั่นคือพลังของคำติชม (feedback) มันเหมือนมีโอกาสได้สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกอีกครั้ง
การที่เราจะเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้นและค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เป้าหมายได้นั้น เราจำเป็นต้องหมุนเวียนในวัฏจักรของการลงมือทำ การรับคำติชม และการปรับปรุงแก้ไขตนเองอยู่เสมอ พึงระลึกคำสอนของนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่อย่างโสกราตีสที่ว่า “ชีวิตที่ไม่ได้รับการทบทวนนั้นไม่คู่ควรกับการมีชีวิตอยู่” เพราะฉะนั้น จงแบ่งเวลาสักเล็กน้อยในแต่ละวันเพื่อสะท้อนความคิดตัวเองและใส่ใจคำติชมที่ได้รับ เพื่อพลิกโฉมชีวิตของคุณไปในทางที่ดีขึ้น
บทสรุป
โดยสรุปแล้ว การควบคุมพลังแห่งจิตใจของคุณนั้นเปรียบได้กับการเชิดหุ่นกระบอก ความคิดและความเชื่อแต่ละอย่างทำหน้าที่เหมือนเชือกที่ควบคุมชีวิตของคุณในท้ายที่สุด คุณสามารถเข้าใจพลังอันยิ่งใหญ่ที่คุณมีอยู่ในตัวคุณได้หรือไม่? จิตใจของคุณไม่ใช่แค่ภาชนะสำหรับใส่ความคิด แต่มันคือสถาปนิกแห่งโชคชะตาของคุณ จำคำกล่าวของเฮนรี่ ฟอร์ด ที่เคยบอกว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้ หรือคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณคิดถูกแล้ว”
ภูมิปัญญาข้อนี้ได้ขีดเส้นใต้เน้นย้ำถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของจิตใจเราและความเชื่อที่เราได้ปลูกฝังไว้ อย่ารอคอยช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบเพื่อจะเริ่มต้นออกเดินทางไปสู่การค้นพบตัวเองและการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นเสียตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นเสียตั้งแต่ตอนนี้
เปรียบได้กับหยดน้ำหยดเดียวที่สามารถสร้างคลื่นในน้ำที่มีขนาดใหญ่โตได้ การตัดสินใจของคุณเพื่อควบคุมพลังแห่งจิตใจจะส่งคลื่นลูกแล้วลูกเล่าของการเปลี่ยนแปลงอันดีงามแผ่กระจายไปทั่วชีวิตของคุณ ลองนึกภาพว่าคุณได้ตื่นขึ้นมาพบกับอนาคตที่สดใสกว่าเดิม อนาคตที่คุณเป็นคนกุมบังเหียน อนาคตที่คุณสามารถทำให้สำเร็จทุกอย่างที่ใจคุณต้องการได้ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ แต่มันคือคำสัญญาที่คุณสามารถไขว่คว้าเอาไว้ได้ คุณต้องเพียงแค่เอื้อมมือออกไปและฉวยคว้ามันไว้ให้ได้