“คุณคือผู้ลิขิตชะตาชีวิตของตัวเอง”
คุณคงเคยได้ยินได้ฟังประโยคนี้มาเป็นร้อยๆครั้งในชีวิตจากบทสนทนาในหนัง อ่านเจอในหนังสือ บทความ หรือแม้แต่วีดีโอ YouTube และบางทีคุณอาจจะได้ยินได้ฟังบ่อยซะจนะเอียนไปแล้ว
แต่ขอทายว่าไม่ว่าคุณจะได้ยินผ่านหูหรือผ่านตามามากขนาดไหนคุณก็ยังไม่ได้นำมนไปใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลซักเท่าไหร่ หรือคุณอาจจะไม่ได้สนใจมันมากนัก ไม่ได้ตั้งใจทำความเข้าใจกับมัน เพราะมันก็เป็นแค่ประโยคหนึ่งที่ใครก็เขียนได้พูดได้
เมื่อคุณได้มาเจอเว็บ sedtee.com นี้ และเจอหน้านี้แล้ว ขอให้คุณให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง ลองตั้งใจทำความเข้าใจมันอีกครั้งแบบลึกซึ้งโดยการอ่านและไตร่ตรองอย่างๆช้าๆ ซึ้งเนื้อหานี้จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการอ่าน หากคุณให้โอกาสตัวเองอีกครั้งทำความเข้าใจอย่างจริงๆจังๆจะพบว่าจะเป็น 20 นาที่ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้
เนื้อหาบทนี้คัดมาจาก บทที่ 15 คุณคือผู้ลิขิตชะตาชีวิตของตัวเอง และปรับตัวอย่างให้ทันสมัย จากหนังสือ The Secret of the Ages โดย โรเบิร์ต คอลลิเออร์ (Robert Collier) โดยที่หนังสือเล่มนี้มียอดขายถึง 300,000 เล่มในยุค ปี ค.ศ. 1926 หรือ 98 ปีที่ผ่านมา
เรามาเริ่มเข้าเนื้อหากันเลย
คุณเลยลองคิดไหมว่าชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไรเมื่ออายุ 65 หรือ 75 ปี?
ตามสถิติที่มีการสำรวจโดยสมาคมธนาคารอเมริกัน (American Bankers Association) ค้นพบเมื่อติดตามชายสุขภาพดีหนึ่งร้อยคนตั้งแต่อายุ 25 ถึง 65 ห้าในหกคนที่อายุ 65 ปียังคงดำรงชีวิตด้วยการช่วยเหลือของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือลูกหลานญาติพี่น้อง มีเพียงหนึ่งในยี่สิบคนเท่านั้นที่สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานตอนอายุ 65
ทั้งร้อยคนนี้มีสุขภาพดีตั้งแต่ต้น ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จเท่าเทียมกัน ความแตกต่างอยู่ที่วิธีที่พวกเขาใช้ความคิด จากสถิติดังกล่าว 95 คนจาก 100 คนแค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น พวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีการริเริ่มสิ่งใหม่ ไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะเริ่มต้นอะไร
พวกเขาอยู่ภายใต้การสั่งการหรือควบคุมโดยผู้อื่นไม่ทางใดทางหนึ่ง คุณอาจจะไม่ชอบหรือรู้สึกต่อต้านกับคำกล่าวนี้ แต่ถ้าหากลองหันไปมองในโลกความเป็นจริงในปัจจุบันจะพบว่ามันมีความจริงอยู่ คนส่วนใหญ่ในสังคมยังอยู่กันอย่างลำบาก
แล้วคุณหละจะเป็นอย่างไร? จะต้องพึ่งพาผู้อื่นหรือเป็นอิสระ? จะต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพอย่างลำบาก เป็นภาระของผู้อื่น หรือจะใช้ชีวิตแบบสบาย หรือ มั่งคั่งร่ำรวย?

ข้าคือผู้ลิขิตชะตาชีวิตของตนเอง
“ข้าคือผู้ลิขิตชะตาชีวิตของตน” ตราบใดที่คุณยังมิได้ตระหนักในความจริงข้อนี้ คุณจะไม่สามารถบรรลุความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตได้
ชะตาชีวิตของคุณอยู่ในกำมือของคุณเอง คุณคือผู้กำหนดมัน สิ่งที่คุณจะเป็นในอีกหกเดือนหรือหนึ่งปีข้างหน้านั้น ขึ้นอยู่กับความคิดของคุณในวันนี้
ดังนั้น จงตัดสินใจเลือกเสียแต่ตอนนี้
อย่างแรก คุณจะยอมจำนนและเป็นทาสวัตถุอย่างเดียวหรือ คุณจะมองสภาพแวดล้อมของคุณว่าเป็นสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้และไร้ซึ่งความรับผิดชอบของตัวคุณเองหรือเปล่า?
หรืออย่างที่สอง คุณจะพยายามที่จะตระหนักรู้ในชีวิตประจำวันว่าวัตถุนั้นเป็นเพียงการรวมตัวของโปรตอนและอิเล็กตรอนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจอย่างสิ้นเชิง ว่าสภาพแวดล้อม ความสำเร็จ และความสุขของคุณ ล้วนเกิดจากการกระทำของคุณเอง และหากคุณไม่พอใจกับสภาวะในปัจจุบัน สิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงจินตนาการมันอย่างที่คุณปรารถนาให้มันเป็น เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงมัน?
วิธีแรกนั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในตอนนี้ แต่มันเป็นวิถีอันง่ายดายที่นำไปสู่ขุมนรกแห่งความยากจน ความกลัว และความไม่สมบูรณ์ของชีวิต
วิธีหลังสุดคือหนทางที่จะนำพาคุณไปสู่การได้มาซึ่งทุกสิ่งที่คุณปราถนา ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความมั่งคั่งร่ำรวย ความสุข และบั้นปลายชีวิตอย่างที่คุณต้องการ
ส่วนมากแล้วเรามันจะไม่เชื่อ และมีความสงสัยในหลักคิดดังกล่าวเพียงเพราะพลังแห่งจิตสากล หรือบางคนเรียกว่าพลังแห่งจิตของจักรวาล (Universal Mind) นี้ไม่อาจมองเห็นได้ นั่นเป็นเหตุผลที่จะทำให้เราสงสัย และเลือกวิธีแรกซึ่งมันง่ายและสะดวกกว่า
พูดถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของธรรมชาติแล้ว เราจะมองไม่เห็นมัน แต่มันมีพลังมหาศาล ลองดูความรักเป็นต้น ความรักนั้นมองไม่เห็น แต่มีพลังอำนาจใดในชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังของความรักอีกอีก?
ความสุข ความสงบ และความพอใจล้วนมองไม่เห็น คลื่นวิทยุ คลื่นไม่โครเวฟ คลื่นแม่เหล็กต่างๆก็มองไม่เห็นเช่นกัน แต่คุณกลับใช้มันทุกวันในหลายๆทางไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร บันเทิง และประกอบชีวิพประจำวัน มันคือผลผลิตของกฎที่ถูกประยุคใช้ควบคุมคลื่นต่างๆ
กฎหมายนั้นเราก็มองมันไม่เห็นเช่นกัน แต่คุณกลับเห็นการแสดงออกของกฎหมายต่างๆทุกวัน
ในการขับเคลื่อนของรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ ก็เช่นกัน ใช้พลังงาน และคุณก็มองไม่เห็นพลังงาน แต่คุณศึกษาถึงกฎในการประยุกต์ใช้พลัง และคุณนำกฎนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันจนขาดมันไม่ได้ ที่กล่าวมาแล้วมาจากพลังงานที่คุณมองไม่เห็น
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากศูนย์ มันมีกฎที่มีอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม มันรอเพียงให้มนุษย์เรียนรู้วิธีนำไปใช้ หากมนุษย์รู้วิธีเรียกใช้จิตสากล (Universal Mind) ในระดับที่เหมาะสม มนุษย์อาจใช้กฎของคลื่นเสียง กฎของคลื่นวิทยุมานานแล้ว การประดิษฐ์เป็นเพียงการเปิดเผยภูมิปัญญาสากล (Universal Wisdom) ที่มีอยู่แล้ว
ยังมีภูมิปัญญาสากลในลักษณะดังกล่าวอีกนับเป็นล้านอย่างที่มนุษย์ไม่ได้ตระหนักถึงหรือยังไม่ได้ค้นพบ
คุณสามารถเรียกหามัน คุณสามารถใช้ภูมิปัญญานั้นเป็นของคุณเองได้ โดยการคิดถึงสิ่งต่างๆ อย่างที่มันอาจเป็นได้ แทนที่จะปล่อยมันเป็นเพียงพลังที่อยู่เฉยๆคุณจะได้ใช้มันในยามที่ต้องการและจำเป็นอย่างยิ่ง
การค้นหาและพบความต้องการ คือก้าวแรกสู่การค้นพบวิธีการที่จะตอบสนองความต้องการนั้น
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการกุมชะตาชีวิตของตัวเอง คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังตามหาอะไร ก่อนที่คุณจะสามารถส่ง “ยักษ์จินนี่แห่งจิตใจ” (คำเปรียบเปรย) ไปค้นหามันได้ในจิตสากล
เหมืองเพชรที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดินของคุณ
หากคุณเคยได้อ่านหนังสือ Acres of Diamonds ของ R.H. Conwell คุณคงจำเรื่องราวของชาวนาผู้ยากจนที่ดิ้นรนมาหลายปีเพื่อหาเลี้ยงชีพจากฟาร์มบนผืนดินเต็มไปด้วยหินของเขา
และในที่สุดเขาก็ยอมแพ้โดยการขายฟาร์มนั้นทิ้งและออกเดินทางเพื่อเสาะหาโชคชะตาที่อื่น หลายปีต่อมาเขากลับมาที่ฟาร์มเก่าของเขา เขาพบว่ามันเต็มไปด้วยเครื่องจักร มีความมั่งคั่งถูกขุดค้นออกมามากกว่าที่เขาเคยจินตนาการว่าจะมีอยู่จริงในทุกๆ วัน นั่นคือเหมืองเพชรคิมเบอร์ลีย์อันยิ่งใหญ่!
พวกเราส่วนใหญ่ก็เหมือนชาวนาคนนั้น เราดิ้นรนไปบนพื้นผิวของพลังที่มีอยู่แล้ว โดยไม่เคยฝันถึงพลังมหาศาลที่อาจเป็นของเราได้ หากเราจะลองขุดลึกลงไปอีกสักหน่อยเพื่อปลุกเร้าตัวตนภายในอันยิ่งใหญ่ที่สามารถมอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเพชรทั้งไร่ให้เราได้
ดังที่ Orison Swett Marden ได้กล่าวไว้ว่า:
คำกล่าวที่ 1 “ความล้มเหลวส่วนใหญ่ในชีวิตล้วนเป็นเพียงเหยื่อของความพ่ายแพ้ทางจิตใจ ความเชื่อมั่นของพวกเขาที่ว่าตนเองไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาสูญเสียพลังและความมุ่งมั่นที่เกิดจากความเชื่อมั่นในตนเอง และพวกเขาไม่แม้แต่จะพยายามที่จะประสบความสำเร็จเลยด้วยซ้ำ”
คำกล่าวที่ 2 “ไม่มีปรัชญาใดทำให้ใครสามารถทำสิ่งที่ตนคิดว่าทำไม่ได้ เหตุผลที่ผู้คนมากมายยังคงดำเนินชีวิตแบบอยู่ไปวันๆในขณะที่หลายคนแทบจะหาเลี้ยงชีพได้ไม่เพียงพอ ทั้งๆที่พวกเขามีความสามารถที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ ก็เพราะพวกเขาขาดความมั่นใจในตนเอง พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งจะช่วยยกพวกเขาออกจากวังวนแห่งความลำบากและความยากจนได้ พวกเขาไม่ใช่ผู้ชนะทางความคิด”
คำกล่าวที่ 3 “วิถีทางย่อมเปิดกว้างสำหรับจิตวิญญาณผู้แน่วแน่, บุรุษผู้มีศรัทธาและความกล้าหาญ”
คำกล่าวที่ 4 “ทัศนคติแห่งชัยชนะในจิตใจ ความสำนึกในพลังอำนาจ ความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ คือสิ่งที่ขับเคลื่อนความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในโลกนี้ หากคุณไม่มีทัศนคตินี้ หากคุณขาดความมั่นใจในตนเอง จงเริ่มพัฒนามันเสียตั้งแต่วันนี้”
คำกล่าวที่ 5 “เหล็กที่มีพลังแม่เหล็กสูงจะดึงดูดและยกเหล็กไร้แม่เหล็กที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวมันถึงสิบเท่าได้ หากทำให้เหล็กชิ้นนั้นหมดพลังแม่เหล็ก มันจะหมดความสามารถที่จะดึงดูดหรือยกแม้แต่น้ำหนักของขนนก”
คำกล่าวที่ 6 “มิตรสหายของข้าพเจ้า ขอให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแม่เหล็กจากศรัทธาอันสูงส่งในตนเอง และผู้ที่สูญเสียพลังแม่เหล็กเนื่องจากขาดศรัทธา มีความสงสัย และความกลัว เช่นเดียวกับความแตกต่างระหว่างเหล็กที่มีและไร้พลังแม่เหล็ก หากชายสองคนที่มีความสามารถเท่าเทียมกัน คนหนึ่งเปี่ยมด้วยพลังแม่เหล็กแห่งความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม และอีกคนหมดสิ้นพลังแม่เหล็กเนื่องจากความกลัวและความสงสัย หากทั้งสองได้รับมอบหมายงานที่คล้ายกัน คนหนึ่งจะประสบความสำเร็จและอีกคนจะล้มเหลว ความเชื่อมั่นในตนเองของคนแรกจะทวีคูณพลังของเขาเป็นร้อยเท่า ในขณะที่การขาดความเชื่อมั่นของผู้ที่สองจะหักลบพลังของเขาลงไปเป็นร้อยเท่า”
คุณเคยใคร่ครวญบ้างไหมว่าเวลาของคุณถูกใช้ไปมากเท่าใดในการเลือกสิ่งที่คุณจะทำ งานใดที่คุณจะลอง ทางไหนที่คุณจะไป ทุกๆ วันคือวันแห่งการตัดสินใจ
ทุกเวลาเราอยู่บนทางแยกเพื่อเลือกสิ่งใจสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ทั้งในเรื่องธุรกิจ ความสัมพันธ์ทางสังคม แม้แต่ในบ้านของเราเอง และสิ่งเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องมีการเลือกตัดสินใจอยู่เสมอ นั่นทำให้การมีศรัทธาในตนเองและในสติปัญญาอันไร้ขอบเขตภายในนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
มีคำกล่าวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า
“จงมอบหมายงานของท่านไว้แก่พระเจ้า และความคิดของท่านจะมั่นคง” 4″จงยอมรับต่อพระองค์ในทุกวิถีทางของท่าน และพระองค์จะทรงชี้แนะแนวทางให้ท่าน”
ในยุคแห่งวัตถุนิยมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางพลังที่ดูซับซ้อนรอบตัวเรา บางครั้งเราอาจร้องตะโกนว่าชีวิตเราถูกกำหนดโดยโชคชะตาและถูกบังคับให้เป็นไปตามสถานการณ์
กระนั้นความจริงก็ยังคงมีอยู่ที่ว่าตัวเราเองเป็นคนเลือกเลือกกระทำในสิ่งที่เราเลือกทำ แม้ว่าเราจะไม่อยากไปทางใดทางหนึ่ง เราก็ยังปล่อยให้ตนเองเดินไปตามทางนั้น เพราะว่ามันเป็นทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุด หรือง่ายที่สุด แล้วตัวคุณเองล่ะ?
- คุณกำลังควบคุมความคิดของตัวเองอยู่หรือเปล่า?
- คุณกำลังจินตนาการเพียงสิ่งที่คุณต้องการจะให้เกิดขึ้นจริงในความคิดของคุณเท่านั้นหรือ?
- คุณกำลังคิดถึงความคิดที่ดีต่อสุขภาพ ความคิดแห่งความสุข และความคิดแห่งความสำเร็จอยู่ใช่ไหม?
ความแตกต่างระหว่างผู้ที่ประสบความสำเร็จและผู้ที่ล้มเหลวนั้น ไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝนหรือความสามารถมากนัก ไม่ได้เกี่ยวกับโอกาสหรือโชค แต่มันอยู่ที่วิธีการมองสิ่งต่างๆ ของแต่ละคน
ผู้ประสบความสำเร็จมองเห็นโอกาสจะคว้ามันไว้ และก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นบนบันไดแห่งความสำเร็จ เขาไม่เคยคิดว่าเขาอาจจะล้มเหลว เขาเห็นเพียงแค่โอกาสที่อยู่ตรงหน้า เขามองเห็นสิ่งที่เขาสามารถสร้างสรรค์ได้ด้วยโอกาสนั้น และพลังทั้งหมดทั้งภายในและภายนอกตัวเขาก็ร่วมกันผลักดันให้เขาทำได้
ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จเห็นโอกาสเดียวกัน เขาปรารถนาที่จะคว้ามันไว้ แต่เขากลัวว่าความสามารถหรือเงินทุนหรือความน่าเชื่อถือของเขาจะไม่เพียงพอต่อภารกิจนี้ เขากลัวว่าถ้าเขาเลือกทำสิ่งนั้นแล้วถ้าล้มเหลวขึ้นมาวันหน้าเขาก็จะลำบาก เขาเปรียบเหมือนนักว่ายน้ำขี้ขลาดที่ยื่นเท้าลงไปข้างหนึ่งแล้วรีบดึงกลับ และในขณะที่เขาลังเล คนอื่นที่มีจิตใจกล้าหาญกว่าก็วิ่งเข้าไปเอาชนะเขาไปถึงเป้าหมาย
แล้วเขาก็หันกลับไปมองอดีตและส่วนใหญ่จะกล่าวว่า “หากข้าคว้าโอกาสนั้นไว้ ป่านนี้ชีวิตฉันคงดีกว่านี้มาก”
คุณจะไม่จำเป็นต้องกล่าวเช่นนั้นอีก เมื่อคุณตระหนักรู้ว่าอนาคตนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณโดยสมบูรณ์ มันไม่ขึ้นอยู่กับโชคลาภหรือความแปรปรวนของโชคชะตา มีเพียงจิตสากล (Universal Mind) เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และจิตนั้นมีแต่ความดีงาม ไม่มีภาพลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ไม่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร ความคิดมากมายมหาศาลดุจเม็ดทรายบนชายหาด และความคิดเหล่านั้นประกอบด้วยความมั่งคั่ง เกียรติยศ และความสุข
คุณเพียงแค่ต้องจินตนาการภาพสิ่งที่คุณปรารถนาไว้อย่างชัดเจนในจิตใต้สำนึก เพื่อดึงดูดแนวคิดที่จำเป็นจากจิตจักรวาล แล้วทำให้สิ่งนั้นปรากฏเป็นจริงขึ้นมา คุณเพียงแค่ต้องจดจำประสบการณ์ที่คุณต้องการพบเจอ เพื่อที่จะควบคุมอนาคตของตัวคุณเอง
ตอนที่แฟรงก์ เอ. แวนเดอร์ลิป อดีตประธานของธนาคาร National City Bank ยังเป็นหนุ่มที่กำลังดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิต เขาได้ถามเพื่อนที่ประสบความสำเร็จว่า มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะแนะนำให้คนหนุ่มอย่างเขาที่อยากจะสร้างเส้นทางของตัวเองในโลกใบนี้ควรทำคืออะไร
เพื่อนเขาตอบว่า “จงทำตัวให้ดูราวกับว่าคุณประสบความสำเร็จแล้ว”
เชกสเปียร์เองก็แสดงความคิดเดียวกันออกมาในอีกแนวทางหนึ่งว่า “แสร้งทำเป็นมีคุณธรรม ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีมันก็ตาม”
จงทำตัวให้สมบทบาท แต่งตัวให้เข้ากับบทบาท แสดงออกให้เหมือนกับบทบาทนั้น บทบาทที่ว่านั้นคือสิ่งที่คุณต้องการจะเป็น เช่นร่ำรวย ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ฯลฯ จงประสบความสำเร็จในความคิดของตัวเองก่อน แล้วในไม่ช้าคุณก็จะประสบความสำเร็จต่อคนทั้งโลกเช่นกัน
เดวิด วี. บุช กล่าวไว้ในหนังสือของเขา “จิตวิทยาประยุกต์และการใช้ชีวิตเชิงวิทยาศาสตร์” ว่า:
คำกล่าวที่ 1 “มนุษย์เปรียบเสมือนผู้ควบคุมระบบไร้สาย มนุษย์มีแนวโน้มจะตกอยู่ภายใต้กระแสความคิดที่ผิดๆได้ง่ายหากจิตใจของเขาไม่ได้เชื่อมโยงอยู่กับพลังอันความไร้ขอบเขต (the Infinite – หมายถึง จิตสากล พลังจักรวาล พระเจ้า จิตใต้สำนึก ผู้สร้าง กฏแห่งธรรมชาติ หรือพลังสูงสุดอะไรก็แล้วแต่ที่คุณเชื่อ) หรือหากเขาไม่ได้ปรับระดับคลื่นให้สอดคล้องกับคลื่นความคิดที่สูงส่งกว่าความคิดแง่ลบ”
คำกล่าวที่ 2 “คนที่ครุ่นคิดถึงความกล้าหาญจะส่งคลื่นความคิดอันกล้าหาญเหล่านี้ผ่านทุกอณูของจักรวาล จนกว่าคลื่นจะไปฝังอยู่ในจิตสำนึกของผู้ที่ปรับจูนเข้ากับคลื่นความกล้าหาญเดียวกัน จงคิดอย่างแข็งแกร่ง คิดถึงความกล้าหาญ คิดถึงความมั่งคั่ง และความคิดเหล่านี้จะได้รับจากใครบางคนที่แข็งแกร่ง กล้าหาญ และมั่งคั่ง”
คำกล่าวที่ 3 “การคิดในแง่ของความมั่งคั่งร่ำรวยนั้นง่ายพอๆ กับการคิดในแง่ของความยากจน หากเราคิดถึงความยากจน เราก็จะกลายเป็นสถานีส่งและรับความคิดเรื่องความยากจน เราส่ง ‘สัญญาณไร้สายทางความคิด’ ของความยากจน และมันไปถึงจิตสำนึกของ ‘ผู้รับ’ ที่ตกอยู่ในความยากจนเช่นกัน เราจะได้รับสิ่งที่คิดถึง”
คำกล่าวที่ 4 “การคิดในแง่ของความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรืองนั้นง่ายพอๆ กับการคิดในแง่ของการขาดแคลน ข้อจำกัด และความยากจน”
คำกล่าวที่ 5 “หากบุคคลยกระดับการสั่นสะเทือนของตนด้วยกระแสแห่งความเชื่อหรือกระแสแห่งความหวัง การสั่นสะเทือนเหล่านี้จะดำเนินผ่านจิตสากลและฝังอยู่ในจิตสำนึกของผู้คนที่ปรับคลื่นความคิดให้ตรงกัน”
คำกล่าวที่ 6 “ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร สิ่งนั้นจะถูกส่งไปยังใครบางคนที่พร้อมรับคลื่นความคิดของคุณ”
คำกล่าวที่ 7 “หากชายคนหนึ่งตกงานและเขาคิดถึงความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ความสามัคคี ตำแหน่ง และการเติบโต ความคิดของเขานั้นก็จะเป็นจริงดั่งคำกล่าวของเช็คสเปียร์ที่ว่า “ความคิดคือสิ่งของ” และจะมีใครสักคนได้รับแรงสั่นสะเทือนแห่งความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ความสามัคคี ตำแหน่ง และการเติบโตของเขา”
คำกล่าวที่ 8 “หากเราคิดอย่างขี้ขลาด เห็นแก่ตัว คิดเล็กคิดน้อย และตระหนี่ถี่เหนียว คลื่นความคิดเหล่านี้ที่เราปล่อยออกไปในทุกอณูของจักรวาลจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะไปถึงสถานีรับทางความคิดที่อยู่ในระดับเดียวกัน ‘นกที่มีขนเหมือนกันย่อมบินมาอยู่รวมกัน’ และจิตใจที่มีความคิดคล้ายกันก็จะดึงดูดเข้าหากัน”
คำกล่าวที่ 9 “หากคุณต้องการเงิน สิ่งที่คุณต้องทำคือส่งแรงสั่นสะเทือนของคุณไปยังสถานีรับสัญญาณที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ แล้วคนที่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณจะถูกดึงดูดเข้าหาคุณ หรือคุณจะถูกดึงดูดเข้าหาเขา”
เมื่อคุณเรียนรู้ว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะชนะ ในความพยายามอันชอบธรรมใดๆ ที่คุณกำลังทำอยู่ คุณจะชนะ เมื่อคุณเรียนรู้ว่าคุณมีสิทธิ์ครอบครองเหนือเรื่องราวต่างๆ ของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คุณก็จะมีอำนาจเหนือเรื่องเหล่านั้น คำสัญญามีอยู่ว่า เราสามารถทำทุกสิ่งได้ผ่านจิต (Mind) ที่อยู่ในพระคริสต์ (หมายถึง จิตสากล พลังจักรวาล พระเจ้า จิตใต้สำนึก ผู้สร้าง กฏแห่งธรรมชาติ หรือพลังสูงสุดอะไรก็แล้วแต่ที่คุณเชื่อ)
จิตสากล (Universal Mind) ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่มีมนุษย์คนใดที่มีพลังมากกว่าคนอื่น เพียงแต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้พลังซึ่งอยู่ในมือของพวกเรา
ที่ผ่านมาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาเช่นเดียวกับคุณและฉัน เพียงแต่พวกเขาค้นพบวิธีดึงพลังจากจิตใต้สำนึกของตนเอง และผ่านมันไปยังจิตสากล
เมื่อพูดถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งของเฮนรี ฟอร์ด แล้วครั้งหนึ่ง โทมัส เอ. เอดิสัน เพื่อนของเขาได้กล่าวว่า “เขาใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกของเขา”
ความลับของการที่จะเป็นสิ่งที่คุณอยากเป็น การที่จะมีในสิ่งที่คุณอยากมี นั้นง่ายมากดังนี้:
- ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ว่าคุณต้องการอะไรจากชีวิต และสิ่งที่คุณปรารถนาให้เป็นอนาคตของคุณ
- ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน
- มองเห็นภาพทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
- มองเห็นตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ และเป็นสิ่งต่างๆ ที่คุณอยากทำมาโดยตลอด
- ทำให้ภาพเหล่านั้นชัดเจนในสายตาของจิตใจคุณ
- สัมผัสมัน ใช้ชีวิตกับมัน เชื่อมั่นในมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาก่อนนอน ซึ่งเป็นช่วงที่เข้าถึงจิตใต้สำนึกของคุณได้ง่ายที่สุด
และในไม่ช้าคุณจะได้เห็นภาพเหล่านั้นในชีวิตจริง
ไม่สำคัญว่าคุณจะอายุน้อยหรือมาก รวยหรือจน เวลาที่จะเริ่มต้นคือตอนนี้ ไม่สายเกินไปที่จะเริ่ม ขอให้คุณเริ่มมันเลยในวันนี้