The Kybalion: เจาะลึกหลักการ 7 ประการ (อย่างละเอียด) ว่าจะพลิกชีวิตของคุณได้อย่างไร

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับผู้คนนับไม่ถ้วนที่ได้นำเอาหลักการเหล่านี้มาใช้ในการแสวงหาการเติบโตทางจิตวิญญาณและการเปลี่ยนแปลงตนเองในด้านต่างๆรวมถึงการเงินและความมั่งคั่ง คุณพร้อมหรือยังที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาและปลดล็อกความลับที่ดึงดูดเหล่าปราชญ์และผู้แสวงหามาตลอดประวัติศาสตร์

ลองนึกภาพว่าคุณครอบครองกุญแจโบราณที่เปิดประตูสู่ความเข้าใจที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณ วันนี้คุณยืนอยู่ตรงปากทางเข้าประตูที่จะเปิดเผยข้อมูลนี้แล้ว มาร่วมเดินทางสุดพิเศษกับเราเข้าสู่หัวใจของความรู้ของศาสตร์ที่ลึกลับนี้ซึ่งบัญญัติโดย Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ ที่เรียกว่า The Kybalion (คัมภีร์ไลบาเลียน)

เราได้เคยสำรวจหลักการของศาสตร์ลี้ลับทั้ง 7 ที่ระบุไว้ในคัมภีร์เก่าแก่อย่าง The Kybalion มาแล้วหลายตอน ในครั้งนี้เราจะมาเจาะลึกกันอีกครั้ง เราจะค้นพบไม่เพียงแค่ภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในคำสอนโบราณเหล่านี้ แต่เราจะเจาะลึกวิธีประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวันของเราด้วย

เนื้อหานี้เป็นการมอบทั้งการรู้แจ้งและแนวทางปฏิบัติสำหรับวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณและตัวตนของคุณ

ปากแห่งปัญญาปิดสนิท ยกเว้นสำหรับหูแห่งความเข้าใจ” เฮอร์มีสเคยกล่าวเตือนเราว่า ความรู้ที่แท้จริงนั้นค้นหาจิตใจที่เตรียมพร้อม การเรียนรู้เนื้อหานี้ไม่ใช่แค่การรับรู้ข้อมูลจากภายนอกแต่ต้องผ่านการไตร่ตรองและทำความเข้าใจด้วยตนเอง

คัมภีร์ลึกลับนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1908 ภายใต้นามแฝงที่ชื่อว่า Three Initiates ที่ปกป้องตัวตนของตัวเองเพื่อไม่ให้ใครรู้จักในสมัยนั้น ในขณะที่บางคนสันนิษฐานว่าผู้เขียนคือ William Walker Atkinson (วิลเลียม วอล์คเกอร์ แอตกินสัน) ไม่มีมีใครมั่นใจว่าคำสันนิษฐานผิวเผินนี้จะถูกต้องหรือ ดูเหมือนว่าชื่อ William Walker Atkinson อาจแค่เป็นฉากบังหน้าที่สะดวกสำหรับปราชญ์นิรนามตัวจริงในยุคนั้น

รากฐานของหลักการศาสตร์ลี้ลับนั้นย้อนกลับไปไกลกว่าการตีพิมพ์ในครั้งแรกมาก ศาสตร์นี้ทั้งยังผูกพันกับตำนานเทพผู้รอบรู้ในสมัยโบราณ ทั้ง Hermes (เฮอร์มีส) และเทพองค์อื่นๆซึ่งอาจเป็นภาพสะท้อนของแก่นแท้แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน

หลักการของ Hermes (เฮอร์มีส) อย่างคำกล่าวที่ว่า “ข้างบนเป็นเช่นไร ข้างล่างก็เป็นเช่นนั้น ข้างในเป็นเช่นไร ข้างนอกก็เป็นเช่นนั้น” (As Within So Without As Above So Below) เป็นการสรุปเนื้อหาแก่นแท้ของหลักการเหล่านี้ได้อย่างดีว่าภายจิตใจของเราเป็นอย่างไร สิ่งที่ปรากฎข้างนอกคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เราคิดข้างใน

ในช่วงเวลาที่เราต้องการที่พึ่งงกันอย่างมากภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์นี้จึงหวนกลับมาอีกครั้ง เหล่าผู้พิทักษ์ศาสตร์ลี้ลับได้อนุรักษ์มันไว้ผ่านยุคสมัยมาเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรักอันลึกซึ้งของผู้พิทักษ์ที่มีต่อคนรุ่นหลังเป็นอย่างดี

เรามาดำดิ่งลงสู่น้ำลึกแห่งปรัชญาโบราณนี้ด้วยกัน เพื่อเปิดรับมุมมองใหม่ที่จะปลดปล่อยศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของตัวเรา

หลักการแรกที่ว่าด้วย “จิตนิยม” ซึ่งเป็นรากฐานของหลักการศาสตร์ลี้ลับทั้งเจ็ด ด้วยการยืนยันว่าความเป็นจริงทั้งหมดนั้นเกิดจากจิต หลักการนี้ชวนให้เราเห็นจักรวาลไม่เพียงแค่เป็นพื้นที่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของจิตสากล (จิตของจักรวาล) ที่ไร้ขอบเขตอีกด้วย

หากพูดเป็นภาษาชาวบ้านคือหลักการนี้บอกว่า จักรวาลที่เราเห็นและเป็นไปทั้งหมดล้วนเป็นโลกที่เกิดขึ้นในจิตใจของจิตจักรวาล บางคนอาจจะเรียกมันว่าพระเจ้า ผู้สร้าง (Creator) พลังงานจักรวาล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่กำลังขับเคลื่อจักรวาลนี้อยู่ และตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตที่ว่านั้นด้วย

ณ จุดนี้เราจะต้องหลุดพ้นจากกรอบความเชื่อเดิม ๆ ว่าสรรพสิ่งต้องเป็นวัตถุธาตุกายภาพเท่านั้นแท้จริงแล้วสิ่งต่างๆ ที่เรามองเห็นรอบตัวล้วนเป็นเพียงการแสดงออกของจิตวิญญาณกระแสเดียวกัน

หลักการนี้นำพาเราสู่ความเข้าใจลึกซึ้งว่าเราสามารถสร้างสรรค์ความเป็นจริงใหม่ได้ด้วยการใช้จิตของเราเอง ด้วยการฝึกฝนอย่างถูกต้องเราจะสามารถเข้าถึงสนามจิตอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสรรพสิ่ง และใช้พลังนี้เพื่อดึงดูดสิ่งที่ปรารถนาเข้ามาในชีวิต มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบแห่งการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง

เรื่องนี้อาจดูเหนือจริงในตอนแรก แต่นี่คือสัจธรรมอันลึกซึ้งที่นักปราชญ์ต่างยกย่องมาช้านาน หากเราสามารถเปิดใจและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายเราจะสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ของจิต เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ คุณต้องถามตัวเองว่าพร้อมแล้วหรือยังที่จะเดินบนเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

ลองพิจารณาคำกล่าวของ เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส ที่ว่า “ผู้ที่เข้าใจความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติในฐานะจิตของจักรวาล ผู้นั้นถือว่าก้าวหน้าอย่างมากบนเส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญ

มุมมองนี้เปิดเผยว่าทุกสิ่งที่เป็นรูปธรรมรอบตัวเรา ล้วนกำเนิดมาจากประกายแห่งความคิดในสนามอันกว้างใหญ่ของโลกแห่งจิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ ผลงานศิลปะ หรือการค้นพบใหม่ทางวิทยาศาสตร์ ล้วนมีจุดกำเนิดจากจิตของผู้สร้างสรรค์นั้นๆ

ถ้าแปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ ความเข้าใจนี้ช่วยให้เราตระหนักว่าจักรวาลที่กว้างใหญ่รอบตัวเรามิได้เป็นเพียงวัตถุหรือพลังงานเท่านั้น หากแต่เป็นการสะท้อนของโลกทางจิต ซึ่งสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นจากจินตนาการ ความตั้งใจ และแนวคิดของสิ่งมีชีวิตก่อนที่จะกลายเป็นรูปร่างที่จับต้องได้

เมื่อเข้าใจถึงพลังอำนาจของจิตอย่างแท้จริงแล้ว เราจะสามารถออกแบบและสร้างสรรค์โลกใหม่ของตัวเราที่เราต้องการได้ ไม่เพียงแค่นั้นหลักการนี้ยังช่วยเราเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างจิตกับสรรพสิ่งรอบตัวอย่างลึกซึ้ง

หลักการนี้สะท้อนความจริงพื้นฐานที่ว่าจักรวาลเองก็ถือกำเนิดจาก Cosmic Consciousness (จิตสำนึกแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่)

เพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักการนี้ ลองพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของหนอนผีเสื้อให้กลายเป็นผีเสื้อ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่กระบวนการทางกายภาพ หากแต่เป็นอุปมาสำหรับวิวัฒนาการทางจิตใจและจิตวิญญาณ การดำรงอยู่ทั้งหมดของหนอนผีเสื้อเปลี่ยนแปลงไปตามพิมพ์เขียวภายใน ซึ่งเป็นความคิดที่เรามองไม่เห็นแต่แสดงออกอย่างชัดเจนในโลก

ในทำนองเดียวกัน ความคิดและความเชื่อภายในตัวของเราก่อร่างสร้างความเป็นจริงภายนอกของเรา หล่อหลอมชีวิตของเราจากวัสดุที่จับต้องไม่ได้อย่างความคิดและความเชื่อ จิตใจคือ Matrix ของสสารทั้งหมด

ดังที่ปราชญ์เคยกล่าวไว้ สิ่งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องราวของสถาปนิกที่มองเห็นอาคารในใจของเขาก่อน เปลี่ยนความคิดให้เป็นรูปธรรมผ่านพิมพ์เขียวและการก่อสร้าง อาคารแต่ละหลังมีอยู่จริงในตอนแรกอยู่แล้วในความคิดของสถาปนิก เขาฝันอยากจะให้มันออกมาจับต้องได้ และเจตนาและความพยายามสร้างสรรค์มันออกมาตามความคิดของเขาจนเป็นรูปเป็นร่างในโลกความจริงในที่สุด

ยกตัวอย่างพี่น้องตระกูลไรท์ ก่อนที่เครื่องบินลำแรกจะขึ้นสู่ท้องฟ้า เครื่องบินนั้นดำรงอยู่ในความคิดของเขาก่อน ความเชื่อของพวกเขาที่ว่ามนุษย์สามารถบินได้ได้เปลี่ยนเป็นความจริงที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

ในทำนองเดียวกัน นักดนตรีจะมองเห็นทำนองเพลงในจิตใจก่อนที่จะเล่นโน้ตตัวแรก เป็นการปล่อยคลื่นสั่นสะเทือนสู่อากาศที่สามารถขับเคลื่อนจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ เฮอร์มีสยังสอนอีกว่า “สิ่งที่อยู่ด้านล่างก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ด้านบน และสิ่งที่อยู่ด้านบนก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ด้านล่าง เพื่อสร้างปาฏิหาริย์จากสิ่งเดียว

ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่งผ่านจักรวาลแห่งจิต ศักยภาพของจิตใจในการสร้างความเป็นจริงแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับเล็กนั้นสะท้อนถึงจักรวาลที่ใหญ่กว่า

นอกจากนี้หลักการแห่งจิตนิยมยังสอนว่าประสบการณ์ส่วนตัวของเราและโลกโดยรวมไม่ได้ถูกหล่อหลอมโดยความบังเอิญ แต่ถูกหล่อหลอมด้วยการใช้ความคิดและความเชื่อของเราอย่างรอบคอบ

ความตระหนักรู้นี้มาพร้อมกับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและความรับผิดชอบที่ว่าเราคือผู้ร่วมสร้างความเป็นจริงของเราเอง เช่นเดียวกับศิลปินที่มีผืนผ้าใบเปล่า ทัศนคติและนิสัยทางจิตใจของเราระบายสีให้กับสถานการณ์ในชีวิตของเรา

เราจะนำหลักการจิตนิยมมาประยุคต์ใช้ในชีวิตปรจำวันได้อย่างไร

การยอมรับหลักการแห่งจิตนิยมจึงหมายถึงการตระหนักถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของจิตใจในการแสดงออกและหล่อหลอมการดำรงอยู่ของเรา เราสามารถเข้าถึงจิตจักรวาลและส่งผลต่อความเป็นจริงทั้งส่วนตัวและส่วนรวมของเราได้ผ่านทางการเชี่ยวชาญความคิดของเรา

เมื่อคุณเข้าใจจุดนี้แล้วขอให้ตระหนักเสมอว่า ความคิดของเราไม่เพียงแต่หล่อหลอมชีวิตของเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งยืนยันถึงมุมมองของศาสตร์ลี้ลับที่ว่าสิ่งเล็กๆ สะท้อนถึงสิ่งที่ใหญ่กว่า และการฝักใช้จิตใจผ่านความติดจะทำให้เราสามารถส่งอิทธิพลไปยังอีกสิ่งหนึ่งได้

พูดในภาษาชาวบ้านคือ โลกที่เห็นและเป็นไปรอบตัวเราเป็นผลมาจากความคิดของเราเอง ตัวอย่างด้านล่างคือวิธีการนำหลักการจิตนิยมนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวติของคุณได้อย่างไรบ้าง

  • สร้างความเป็นจริงของคุณ
    ตระหนักว่าความคิดและความเชื่อของคุณมีพลังในการสร้างความเป็นจริงของคุณ หากคุณคิดบวกและเชื่อมั่นในสิ่งที่ดี คุณก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้นเมื่อจะใช้ความคิดแล้วควรคิดในสิ่งที่ดี คิดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และสิ่งที่อยากให้เกิดกับชีวิตของเราเท่านั้น คุณต้องไม่คิดอะไรถึงสิ่งที่ไม่อยากได้
  • เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิต
    หากคุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ให้เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนความคิดของคุณ มองหาแง่มุมบวกในทุกสถานการณ์ และเชื่อมั่นว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ต้องละทิ้งความกังวล ความกลัว และการคาดเดาสิ่งๆต่างๆในแง่ลบออกจากความคิดให้หมด
  • ฝึกสติ (Meditation)
    การมีสติช่วยให้คุณตระหนักถึงความคิดและความรู้สึกของคุณ ทำให้คุณสามารถควบคุมจิตใจของคุณได้ดีขึ้น
  • สร้างภาพในใจ (Visualization)
    ใช้จินตนาการของคุณเพื่อสร้างภาพสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต เห็นภาพตัวเองประสบความสำเร็จและมีความสุข
  • ใช้คำพูดเชิงบวก (Positive Words)
    คำพูดของคุณมีพลัง ดังนั้นจงใช้คำพูดเชิงบวกเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
  • ยินดีกับสิ่งที่ได้รับและขอบคุณกับสิ่งที่มี (Gratitude)
    การแสดงความขอบคุณต่อสิ่งดีๆ ในชีวิตจะช่วยให้คุณดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้น
  • ให้อภัย (Forgiveness)
    การให้อภัยผู้อื่นและตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการปลดปล่อยความคิดและความรู้สึกด้านลบ
  • เชื่อมั่นในพลังจักรวาล
    เชื่อว่าจักรวาลคอยสนับสนุนคุณและพร้อมที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายของคุณ บอกตัวเองอยู่เสมอว่ามีพลังมหาศาลที่คอยขับเคลื่อนจักรวาลและคอยเจือจุนชีวิตในจักรวาลนี้ให้ดำเนินต่อไป หลังจากที่คุณทำทุกอย่างที่คุณทำได้แล้ว ก็ทำใจให้สงบผ่องใสคิดและส่งคำขอไปยังจะพลังนั้นให้ส่งเสริมให้คุณได้รับสิ่งที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนั้น หากพูดเป็นภาษาชาวบ้านคือ การสวดมนต์ การอธิษฐาน นั่นเอง

ตัวอย่างการนำหลักการจิตนิยมไปใช้:

  • หากคุณต้องการหางานใหม่ ให้เริ่มต้นด้วยการสร้างภาพในใจว่าคุณได้งานที่คุณต้องการแล้ว เขียนรายละเอียดของงานในสมุดบันทึกของคุณ และใช้คำพูดเชิงบวกเพื่อยืนยันความเชื่อของคุณ เช่น “ฉันเป็นคนเก่ง ฉันสมควรได้รับงานที่ดี”
  • หากคุณต้องการมีเงินมากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้ ก็ให้เริ่มด้วยการสร้างภายในใจอีกเช่นกันว่าได้เงินในจำนวนที่ต้องการแล้ว สร้างความรู้สึกเสมือนว่าได้เงินแล้วจริงๆ และใช้คำพูดเชิงบวกเพื่อยืนยันความเชื่อของคุณ “ฉันดึงดูดเงิน ฉันมีเงินอย่างที่ฉันต้องการ”
  • หากคุณกำลังเผชิญกับความท้าทาย ให้เตือนตัวเองว่าความคิดของคุณมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มองหาโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตจากความท้าทาย และเชื่อมั่นว่าคุณจะผ่านพ้นมันไปได้

หลักการแห่งการสอดคล้องนี้ได้เปิดประตูสู่จักรวาล Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) ได้สอนหลักการศาสตร์ลี้ลับข้อที่สองอันโด่งดังนี้ ซึ่งสรุปไว้ว่า “ข้างบนเป็นเช่นไร ข้างล่างก็เป็นเช่นนั้น ข้างล่างเป็นเช่นไร ข้างบนก็เป็นเช่นนั้น

นี่เผยให้เห็นถึงธรรมชาติแบบสมมาตรของจักรวาล ยืนยันว่าสิ่งเล็กๆ สะท้อนถึงสิ่งที่ใหญ่กว่า หากกล่าวในแง่วิทยาศาสร์ก็หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในระดับมหภาคก็จะสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับจุลภาค และในทางกลับกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในระดับจุลภาคก็จะสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับมหภาค

หลักการนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของปัญญาที่ลึกลับ เป็นกุญแจสำคัญในการถอดรหัสความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างระดับต่าง ๆ ของการดำรงอยู่ อนุญาตให้เราก้าวข้ามขอบเขตระหว่างสิ่งที่รู้และสิ่งที่ไม่รู้ได้โดยการยอมรับหลักการแห่งการสอดคล้อง

เราจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกัน คำกล่าวส่วนขยายต่อมาคือ “สิ่งที่อยู่ข้างล่างสอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ข้างบน และสิ่งที่อยู่ข้างบนสอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ข้างล่าง เพื่อสร้างปาฏิหาริย์แห่งหนึ่งเดียว

มุมมองนี้ทำให้เหล่านักปราชญ์เฮอร์มีสโบราณไม่ได้มองโลกเพียงแค่เป็นปรากฏการณ์ที่แยกจากกันและไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เป็นมิติที่เชื่อมโยงถึงกันและสะท้อนซึ่งกันและกัน

ลองพิจารณาความคล้ายคลึงอันน่าทึ่งระหว่างโครงสร้างของอะตอมและระบบสุริยะ อะตอมที่มีอิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียส และระบบสุริยะที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบดาวฤกษ์ แม้จะมีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องขนาด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน

โครงสร้างของระบบสุริยะจักรวาล และโครงสร้างของอะตม ที่คล้ายคลึงกัน

ความคล้ายคลึงกันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการแสดงออกของหลักการแห่งการสอดคล้อง การศึกษาอะตอมทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้รับความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกที่กว้างขึ้นของกาแล็กซี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำความเข้าใจความเป็นจริงในระดับหนึ่ง (เช่นระดับเล็ก) สามารถให้ข้อมูลความรู้ของเราในอีกระดับหนึ่ง (เช่นระดับใหญ่) ได้

ตัวอย่างอีกประการหนึ่งที่น่าสนใจคือวิธีที่ต้นไม้แลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจนในภาวะสมดุลกับสิ่งมีชีวิตที่หายใจ กระบวนการนี้สะท้อนให้เห็นถึงวัฏจักรการแลกเปลี่ยนทางสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง เช่น วัฏจักรของน้ำหรือไนโตรเจน ซึ่งค้ำจุนชีวิตบนโลก วัฏจักรเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าหลักการที่ควบคุมสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดและปฏิสัมพันธ์ของพวกมันนั้น เป็นหลักการเดียวกันกับที่ควบคุมระบบของโลก

หลักการแห่งการสอดคล้องยังครอบคลุมถึงขอบเขตของจิตสำนึกมนุษย์และโครงสร้างทางสังคม การปกครองโลกภายในของตนเองหรือจิตใจส่วนบุคคลนั้นสอดคล้องกับวิธีการจัดโครงสร้างและการปกครองสังคม

เช่นเดียวกับที่จิตใจที่มีระเบียบนำไปสู่การดำรงอยู่ของบุคคลแต่ลคนที่มีประสิทธิภาพและสงบสุข กฎหมายและการปกครองที่มีโครงสร้างที่ดีจะนำไปสู่สังคมที่กลมเกลียว ความวุ่นวายหรือระเบียบภายในจิตสำนึกของมนุษย์สามารถสะท้อนให้เห็นในโลกที่อยู่รอบตัวเรา

เราจะนำหลักกาแห่งการสอดคล้องมาประยุคต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

หลักการแห่งการสอดคล้องสอนให้เรารู้ว่า เมื่อเราปรับความสั่นสะเทือนส่วนบุคคลของเราให้สอดคล้องกับกฎแห่งจักรวาล เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ไม่เพียงแค่ในชีวิตส่วนตัวของเรา แต่ยังรวมถึงจักรวาลที่กว้างใหญ่กว่าด้วย

สามารถสรุปสั้นๆเป็นภาษาบ้านๆได้ว่า ในจักรวาลนี้เป็นความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างโลกทางกายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณ

ดังนั้นหลักการแห่งการสอดคล้องจึงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงปรัชญาหรือแนวคิดลึกลับเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้จริงในทางวิทยาศาสตร์ และสำหรับการนำทางทั้งโลกแห่งจิตวิญญาณและโลกแห่งวัตถุ ด้วยความเข้าใจนี้

เราสามารถเริ่มมองเห็นจักรวาลไม่ใช่ชุดของปรากฏการณ์ที่โดดเดี่ยว แต่เป็นองค์รวมที่เชื่อมโยงกันอย่างสอดคล้อง ซึ่งแต่ละส่วนสะท้อนและมีอิทธิพลต่อกันและกัน โดยใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเล็ก ๆ เพื่อทำความเข้าใจและมีอิทธิพลต่อระบบที่ใหญ่กว่า

เช่น เราเข้าใจความรู้สึกภายใน (ในความคิดในจิตใจ) เพื่อทำเข้าใจและมีอิทธิพลต่อโลกภายนอก (โลกทางกายภาพ) นำเราไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับปาฏิหาริย์แห่งการดำรงอยู่

เราสามารถนำหลักการแห่งการสอดคล้องมาประยุคต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้

  • การเข้าใจตนเอง
    หลักการนี้ชี้ให้เห็นว่า จิตใจของเรา (เบื้องบน) ส่งผลต่อร่างกายและการกระทำของเรา (เบื้องล่าง) การทำความเข้าใจความคิดและอารมณ์ของตนเองจึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาตนเองและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นอกจากนั้นสิ่งที่เราคิดในใจ (เบื้องใน) มีผลต่อสิ่งที่ดำเนินไปในโลกข้างนอก (เบื้องนอก) ดังนั้นหากต้องการให้โลกข้างนอกเป็นอย่างไรต้องคิดในใจให้เป็นอย่างนั้นก่อน ดังนั้นหากคุณต้องการจะร่ำรวยคุณต้องคิดถึงแต่ความเริ่มรวย ความสมบูรณ์ของชีวิต ต้องไม่คิดถึงความบากหรือการขาดแคลนไม่แต่น้อย
  • การสร้างความสัมพันธ์
    หลักการนี้ยังสามารถนำมาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพและความเข้าใจ หากคุณเขารพคนอื่นคนอื่นก็จะเคารพเราตอบ หากจริงใจกับเขาก่อนเขาก็จะจริงใจกับเรากลับ จะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน
  • การตั้งเป้าหมาย
    การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อของตนเอง เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏภายนอกสะท้อนมาจากสิ่งที่อยู่ในใจ ดังนั้นการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนในใจจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เพราะจิตใจและการกระทำของเราจะสอดคล้องกัน หากคุณต้องการร่ำรวยก็ต้องเป้าหมายให้ตัวคุณเองร่ำรวยเท่านั้น
  • การจัดการความเครียด
    เมื่อเกิดความเครียดหรือความวิตกกังวล การตระหนักรู้ถึงความคิดและอารมณ์ของตนเอง จะช่วยให้เราจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น หากข้างในเครียดโลกภายนอกที่พบเจอก็จะมีแต่ความเครียด หากข้างในผ่อนคลายโลกภายนอกที่เจอก็จะผ่อนคลายไปด้วย คุณสามารถพัฒนาการลดความเครียดด้วยการ การทำสมาธิ การฝึกหายใจ และปล่อยวาง
  • การพัฒนาตนเอง
    การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราเข้าใจตนเองและโลกมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกทั้งในด้านจิตใจและในด้านกายภาพ
  • การสร้างแรงบันดาลใจ
    การมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา จะช่วยให้เรามองเห็นความงามและความหมายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจและความสุขให้กับเรา

หลักการข้อที่สามคือหลักการแห่งการสั่นสะเทือน หลักการนี้บอกว่าไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเคลื่อนไหว ทุกสิ่งสั่นสะเทือน คำประกาศพื้นฐานนี้สรุปหลักการแห่งการสั่นสะเทือน เผยให้เห็นความจริงสากลที่ซึมซับอยู่ในทุกแง่มุมของการดำรงอยู่

หลักการนี้ระบุว่าสสาร พลังงาน จิตใจ และวิญญาณ ล้วนมีธรรมชาติเป็นการสั่นสะเทือน เฮอร์มีส ได้อธิบายแนวคิดนี้ไว้ว่า “การแกว่งไปทางขวาคือการวัดการแกว่งไปทางซ้าย จังหวะจะชดเชยกันอย่างพอดี” ซึ่งสอดคล้องกับความเข้าใจที่ว่าทุกสิ่งเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบและวัฏจักรที่มีจังหวะ

หลักการนี้ได้รับการสนับสนุนจากการค้นพบของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาฟิสิกส์ควอนตัม (Quantum Physics) ซึ่งพบว่าแม้แต่อนุภาคพื้นฐานที่สุดก็ยังคงเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง สั่นสะเทือนด้วยความถี่เฉพาะ

ธรรมชาติแห่งการสั่นสะเทือนนี้เป็นตัวแยกแยะการแสดงออกที่แตกต่างกันของสสารและพลังงาน อัตราของการสั่นสะเทือนเหล่านี้เป็นตัวกำหนดรูปแบบและแก่นแท้ของสสารหรือความคิด

ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาความแตกต่างระหว่างน้ำแข็ง น้ำ และไอน้ำ ทั้งสามรูปแบบนี้คือสถานะของ H2O แต่สถานะของพวกมันถูกกำหนดโดยระดับพลังงานจากการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน น้ำแข็งที่มีโมเลกุลสั่นสะเทือนช้าจะอยู่ในสถานะของแข็ง

เมื่ออัตราการสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้น น้ำจะกลายเป็นของเหลว และเมื่อการสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้นอีก น้ำจะเปลี่ยนเป็นไอน้ำ ซึ่งเป็นสถานะก๊าซ นี่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในการสั่นสะเทือนสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสถานะของสสารได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลักการแห่งการสั่นสะเทือนยังครอบคลุมไปถึงอาณาจักรของเสียงและดนตรีอีกด้วย เสียงโน้ตต่ำสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่ช้ากว่าเสียงโน้ตสูง นักดนตรีสามารถควบคุมการสั่นสะเทือนเหล่านี้เพื่อสร้างความกลมกลืนและท่วงทำนองที่ส่งผลต่ออารมณ์และจิตสำนึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

พลังในการเยียวยาของดนตรีบำบัดและเสียงบำบัดเป็นตัวอย่างเพิ่มเติมว่าการสั่นสะเทือนมีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตและร่างกายของเราอย่างไร

เฮอร์มีส ไตรเมจิสตัส ได้ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งอีกประการหนึ่งว่า “เมื่อการสั่นสะเทือนของวัตถุหนึ่งเอื้อมออกไปสัมผัสอีกวัตถุหนึ่ง มันก็เหมือนกับความรู้ที่ส่งผ่านจากจิตใจหนึ่งไปยังอีกจิตใจหนึ่ง

สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากการที่เราสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์หรือ “ไวบ์” (Vibe) ของผู้อื่นโดยไม่ต้องใช้คำพูด บุคคลที่สงบและเยือกเย็นสามารถลดความวิตกกังวลของกลุ่มได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสั่นสะเทือนส่วนบุคคลสามารถส่งผลต่อสภาพแวดล้อมโดยรวม

แง่มุมที่ลึกลับของหลักการแห่งการสั่นสะเทือนช่วยให้นักศึกษาศาสตร์ลี้ลับไม่เพียงแต่เข้าใจ แต่ยังสามารถควบคุมการสั่นสะเทือนทางจิตใจของตนเองและผู้อื่นได้ การเรียนรู้หลักการนี้จนเชี่ยวชาญ ช่วยให้บุคคลยกระดับการสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณของตนเองให้ใกล้ชิดกับการสั่นสะเทือนที่บริสุทธิ์และเข้มข้นของจิตวิญญาณ

ซึ่งกล่าวกันว่ารวดเร็วจนดูเหมือนนิ่ง ความเชี่ยวชาญนี้เปรียบได้กับการปรับแต่งเครื่องดนตรีเพื่อให้เกิดความกลมกลืนสมบูรณ์แบบกับวงออร์เคสตราแห่งจักรวาล ในความหมายที่ลึกซึ้ง การเข้าใจการสั่นสะเทือนเป็นเสมือนประตูสู่มิติอื่นๆ

แสงที่เรารับรู้ ไม่ว่าจะเป็นรังสีของดวงอาทิตย์ เปลวไฟ หรือแสงไฟฟ้าอันน่าพิศวง ล้วนเป็นเพียงการแสดงออกทางกายภาพของการสั่นสะเทือนที่มีความถี่สูง แสงเหล่านี้ไม่ใช่แค่แสง แต่เป็นหน้าต่างสู่สถานะการสั่นสะเทือนที่สูงขึ้น ซึ่งเราสามารถเข้าถึงได้ผ่านการยกระดับความถี่ทางจิตวิญญาณและจิตใจของเราเอง

ดังนั้นหลักการแห่งการสั่นสะเทือนจึงสอนเราว่า การปรับความถี่ของเราโดยการยกระดับสถานะการสั่นสะเทือน ไม่เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองของเรา แต่ยังเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของเราอีกด้วย หลักการนี้เน้นย้ำว่าทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกันผ่านการสั่นสะเทือนเหล่านี้ และด้วยการเรียนรู้ที่จะสอดประสานกับความถี่ของจักรวาล เราจะก้าวเข้าใกล้ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับธรรมชาติของการดำรงอยู่และตำแหน่งของเราภายในนั้น

เราจะนำหลักการแห่งการสั่นสะเทือนมาประยุคต์ใช้ในชีวิตปรจำวันได้อย่างไร

  • การเข้าใจความคิดและอารมณ์:
    ความคิดและอารมณ์ของเราก็คือรูปแบบหนึ่งของการสั่นสะเทือน เมื่อเราคิดในแง่บวกหรือมีความสุข เราจะส่งคลื่นพลังงานในระดับความถี่สูงออกไป ในทางกลับกัน ความคิดด้านลบหรือความรู้สึกเศร้าโศกก็จะส่งคลื่นพลังงานในระดับความถี่ต่ำ ดังนั้น การฝึกควบคุมความคิดและอารมณ์ให้อยู่ในแง่บวกจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • การสร้างแรงดึงดูด:
    ตามกฎแห่งแรงดึงดูด สิ่งที่คล้ายกันย่อมดึงดูดกัน การสร้างแรงดึงดูดทำได้โดยการที่เราโฟกัสไปที่สิ่งที่เราต้องการและรักษาความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับสิ่งนั้น เราจะสั่นสะเทือนในระดับความถี่ที่สอดคล้องกับสิ่งนั้น ทำให้มีโอกาสดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตมากขึ้น
  • การพัฒนาตนเอง:
    หลักการแห่งการสั่นสะเทือนยังสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตนเองได้อีกด้วย เช่น การฝึกสมาธิ การทำสมาธิ หรือการใช้เสียงดนตรีบำบัด ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สามารถช่วยปรับระดับความถี่ของเราให้สูงขึ้น ช่วยให้เรามีความสงบ สมาธิ และมีความสุขมากขึ้น
  • การสร้างความสัมพันธ์:
    เราสามารถใช้หลักการนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ โดยการสื่อสารด้วยความรัก ความเข้าใจ และความเคารพ ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีและส่งคลื่นพลังงานในระดับความถี่สูงไปยังผู้อื่น
  • การดูแลสุขภาพ:
    การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นการดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง ซึ่งจะส่งผลต่อระดับความถี่ของเราให้สูงขึ้นได้เช่นกัน

หลักการข้อที่สี่ ที่อธิบายไว้ใน Kybalion คือหลักการแห่งขั้วตรงข้าม ทุกสิ่งมีสองด้าน ทุกสิ่งมีขั้ว ทุกสิ่งมีคู่ตรงข้าม

หลักการอันลึกซึ้งนี้สอนเราว่าทุกสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นในโลกทางกายภาพ ทางจิตใจ หรือทางจิตวิญญาณ ล้วนมีธรรมชาติเป็นคู่ตรงข้ามเสมอ คู่ตรงข้ามแต่ละคู่เป็นสองขั้วสุดโต่ง (Extreme) ของปรากฏการณ์เดียวกัน แต่ต่างกันเพียงระดับหรือองศา

Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) ให้ข้อคิดเกี่ยวกับกฎพื้นฐานนี้ของจักรวาลไว้ว่า “สิ่งตรงข้ามนั้นเหมือนกันในธรรมชาติ แต่ต่างกันในระดับ ขั้วต่างกันสุดมาบรรจบกัน ความจริงทั้งมวลเป็นเพียงครึ่งความจริง

ลองพิจารณาอุณหภูมิเป็นตัวอย่าง ร้อนและเย็น แม้ว่ามักจะคิดว่าเป็นสิ่งตรงข้ามกัน แต่จริงๆ แล้วก็คือสิ่งเดียวกัน ตัวอย่างเช่นเย็นน้อยลงจะหมายถึงร้อนขึ้น ในขณะเดียวกันหากเย็นมากขึ้นก็หมายถึงความร้อนเริ่มลดลง ปรากฏการณ์ของอุณหภูมิที่เราประสบนั้นเกิดขึ้น ณ จุดต่างๆ บนเส้นต่อเนื่องไม่มีจุดที่แน่นอนบนเทอร์โมมิเตอร์ที่ความร้อนสิ้นสุดและความเย็นเริ่มต้น

มันคือการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย เป็นระดับ (Scale) พลังงานที่เลื่อนไหล ซึ่งเราตีความผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของเรา ดังนั้นจึงไม่มีจุดที่เรียกว่าเย็นสัมบูรณ์ (Absolute Cold) หรือร้อนสัมบูรณ์ (Absolute Hot)

ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างและความมืดก็แสดงให้เห็นหลักการนี้เช่นกัน ไม่มีช่วงเวลาที่ชัดเจนว่าเมื่อใดกลางวันจะกลายเป็นกลางคืน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย เป็นสเปกตรัมของแสงที่ค่อยๆ จางหายไปสู่ความมืด แต่ละสิ่งต่างนิยามซึ่งกันและกัน

การประยุกต์ใช้หลักการแห่งขั้วตรงข้ามขยายออกไปไกลกว่าปรากฏการณ์ทางกายภาพ ไปสู่อาณาจักรของอารมณ์และจิตวิทยาของมนุษย์ ความรักและความเกลียดชัง ความสุขและความเศร้า ความสงบสุขและความขัดแย้ง แม้ว่าอารมณ์เหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นขั้วตรงข้ามกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วมันก็คือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เราประสบกับมันในระดับความสั่นสะเทือนทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน

Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) แนะนำว่าหากต้องการกำจัดอัตราการสั่นสะเทือนทางจิตใจที่ไม่พึงประสงค์ ให้ใช้หลักการแห่งขั้วตรงข้าม โดยให้จดจ่ออยู่ที่ขั้วตรงข้ามกับสิ่งที่คุณต้องการจะกำจัด คำแนะนำนี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางในการเปลี่ยนอารมณ์ด้านลบให้เป็นด้านบวก ด้วยการเปลี่ยนจุดสนใจและการปรับแนวทางอารมณ์ของเรา ในขอบเขตของจิตวิญญาณและจิตใจ

หลักการนี้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากความกลัวเป็นความกล้าหาญ ไม่ใช่การกำจัดสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่ง แต่คือการทำความเข้าใจและปรับระดับการสั่นสะเทือนที่อารมณ์เหล่านี้ดำรงอยู่ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนสภาวะทางอารมณ์และจิตใจของเราอย่างมีสติเช่นนี้ เปรียบได้กับศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุทางจิต

ยิ่งไปกว่านั้น หลักการแห่งขั้วตรงข้ามยังเป็นแนวปฏิบัติขั้นสูงที่นักปราชญ์เฮอร์มีสใช้เพื่อควบคุมภูมิทัศน์ภายในและมีอิทธิพลต่อความเป็นจริงภายนอกของพวกเขา

นอกจากนี้หลักการแห่งขั้วตรงข้ามยังมีความสำคัญในการทำความเข้าใจหลักการทางปรัชญาที่เป็นรากฐานของคำสอนโบราณและสมัยใหม่หลายๆคำสอน

ตัวอย่างเช่น ในลัทธิเต๋า สัญลักษณ์หยินหยางแสดงถึงความเป็นคู่ภายในระเบียบธรรมชาติ แต่ละด้านมีเมล็ดพันธุ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกว่าพวกมันไม่ได้เป็นพลังที่เป็นอิสระ แต่เชื่อมต่อกันและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

ข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “เรารู้จักการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ร้อนและไม่เย็น เราอยากให้เจ้าร้อนหรือเย็นเสียก็ดี ดังนั้น เพราะเจ้าอุ่น ๆ และไม่เย็นหรือร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบรรลุถึงสภาวะสมดุลหรือเป็นกลาง สภาวะนี้มักเรียกว่าทางสายกลางในปรัชญาพุทธ ไม่ใช่เรื่องของความเฉยเมย แต่เกี่ยวกับการหาสมดุลที่กลมกลืนระหว่างสองขั้ว

จากจุดศูนย์กลางแห่งความสมดุลนี้ ซึ่งในศาสตร์ลี้ลับเรียกว่า จักระหัวใจ (Heart Chakra) เราจึงสามารถสัมผัสถึงความเป็นหนึ่งเดียวและสันติสุขที่แท้จริง ก้าวข้ามความเป็นคู่ของความดีและความชั่ว นอกจากนี้ ลองพิจารณาปรากฏการณ์ของสเปกตรัมทางการเมืองหรืออุดมการณ์

สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้ายก็เป็นเพียงจุดต่าง ๆ บนมาตราส่วนของความคิดทางการเมือง ซึ่งแต่ละฝ่ายถูกกำหนดโดยสัมพันธ์กับอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ เราสามารถหาจุดร่วมและมุมมองที่สมดุลมากขึ้น ซึ่งรวมองค์ประกอบของทั้งสองมุมมอง

หลักการแห่งขั้วตรงข้ามยังส่องสว่างเส้นทางแห่งการเติบโตส่วนบุคคลและการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่นักเล่นแร่แปรธาตุเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทองคำผ่านชุดของกระบวนการที่ปรับสมดุลคุณสมบัติของธาตุต่างๆของสสาร

เราก็สามารถเปลี่ยนความท้าทายส่วนตัวให้เป็นโอกาสในการเติบโตได้ด้วยการทำความเข้าใจและปรับตำแหน่งของเราให้อยู่ระหว่างขั้วต่างๆ ผ่านการเข้าใจหลักการแห่งขั้วตรงข้ามอย่างถ่องแท้

เราเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งในชีวิตมักเป็นเรื่องของมุมมอง ด้วยการเปลี่ยนมุมมองไปตามความต่อเนื่องของความเป็นคู่ เราสามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของเรา เพิ่มพูนความเข้าใจ และท้ายที่สุดบรรลุความกลมกลืนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับจักรวาล

หลักการนี้ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อแก้ปริศนาทางปรัชญา แต่ยังช่วยให้เราเปลี่ยนขั้วของเราเองและเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของเรา มันสอนให้เรารู้ว่าภายในการเต้นรำของสิ่งตรงข้าม มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงในแบบเล่นแร่แปรธาตุ นำไปสู่ประสบการณ์ชีวิตที่สมบูรณ์และหลอมรวมมากขึ้น

เราจะนำหลักการแห่งขั้วตรงข้ามมาประยุคต์ใช้ในชีวิตปรจำวันได้อย่างไร

  • การยอมรับความแตกต่าง
    ทุกคนมีความแตกต่างกัน มีความคิดเห็น มุมมอง และค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน การยอมรับความแตกต่างจะช่วยให้เราเปิดใจกว้าง ไม่ตัดสินผู้อื่น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้
  • การเปลี่ยนมุมมอง
    เมื่อเราเจอสถานการณ์ที่ไม่ดี หรือรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดลบ เราสามารถลองเปลี่ยนมุมมองโดยมองหาแง่บวกหรือโอกาสในการเรียนรู้จากสถานการณ์นั้นๆ การเปลี่ยนมุมมองจะช่วยให้เราไม่จมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ และสามารถก้าวต่อไปได้
  • การหาจุดกึ่งกลาง
    ในทุกๆ สถานการณ์ มักจะมีจุดกึ่งกลางระหว่างขั้วตรงข้ามเสมอ เช่น ระหว่างความกล้าหาญและความระมัดระวัง ระหว่างความใจกว้างและความรอบคอบ การหาจุดกึ่งกลางจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างสมเหตุสมผล และไม่สุดโต่งเกินไป
  • การใช้ประโยชน์จากขั้วตรงข้าม
    เราสามารถใช้ประโยชน์จากขั้วตรงข้ามเพื่อพัฒนาตนเองได้ เช่น หากเรารู้สึกว่าตัวเองขี้เกียจเรารู้ว่าไม่สามารถกำจัดความขี้ได้ 100% หรอกแต่เราสามารถใช้ความขยันมาเป็นแรงผลักดันโดยการเพิ่มความขยันให้ตัวเองทีละน้อยๆ หากเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นใจ เราสามารถใช้ความกล้าหาญมาเป็นแรงเสริมทีละน้อยๆจะกระทั้งความกล้าหาญมีเยอะกว่าความไม่มั่นใจ เป็นต้น
  • การสร้างสมดุล
    การใช้ชีวิตอย่างสมดุลคือการรู้จักจัดการกับขั้วตรงข้ามในชีวิต ไม่ให้สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง เช่น การทำงานหนักแต่ก็ต้องรู้จักพักผ่อน การมีเป้าหมายแต่ก็ต้องรู้จักมีความสุขกับปัจจุบัน

หลักการข้อที่ห้า คือหลักการแห่งจังหวะ ทุกสิ่งไหลเข้าและออก ทุกสิ่งมีกระแสขึ้นและลง ทุกสิ่งล้วนรุ่งเรืองและเสื่อมถอย การแกว่งของลูกตุ้มปรากฏในทุกสิ่ง การแกว่งไปทางขวาคือการวัดการแกว่งไปทางซ้าย จังหวะจะชดเชยกัน

ถ้อยคำเหล่านี้จาก Kybalion ได้สรุปแก่นของหลักการแห่งจังหวะไว้อย่างชัดเจน หลักการนี้ยืนยันว่าชีวิตและองค์ประกอบทุกอย่างของมันเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบวัฏจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความจริงสากลที่ว่าไม่มีสิ่งใดคงที่ และทุกสิ่งล้วนอยู่ในสภาวะของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) ได้เพิ่มพูนความเข้าใจนี้ด้วยมุมมองของเขาที่ว่า “จังหวะเป็นผลลัพธ์ของสิ่งตรงข้ามที่รวมตัวกัน

เขาแนะนำว่าโดยการตระหนักถึงความเป็นคู่ในทุกสิ่ง เราจะสามารถเข้าใจจังหวะที่ควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น จังหวะนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในธรรมชาติและจักรวาล

การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ และน้ำขึ้นน้ำลงของมหาสมุทร ล้วนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของวัฏจักรที่มีจังหวะซึ่งสามารถสังเกตและคาดการณ์ได้

ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นกรอบที่ชีวิตจัดระเบียบและดำเนินไป การขึ้นลงของกระแสน้ำที่เกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ไม่เพียงส่งผลต่อโลกธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปมาสำหรับวัฏจักรของจังหวะที่เกิดขึ้นในชีวิตส่วนตัวของเรา ในประสบการณ์ของมนุษย์

หลักการแห่งจังหวะยังสามารถเห็นได้ในวัฏจักรทางเศรษฐกิจของความเจริญและความตกต่ำที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลกและตลาดท้องถิ่น เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เศรษฐกิจก็ขยายตัวและหดตัวเป็นรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้

ในบริบททางเศรษฐกิจ จังหวะนี้สะท้อนออกมาในรูปของวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยช่วงขาขึ้น (ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว) และช่วงขาลง (ภาวะถดถอย) ที่สลับกันไปอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล จังหวะทางเศรษฐกิจนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดโลกและตลาดท้องถิ่น

ความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงและวางแผนได้อย่างเหมาะสม จึงเป็นการควบคุมจังหวะแทนที่จะถูกควบคุมโดยมัน หลักการเดียวกันนี้ยังใช้กับการพัฒนาส่วนบุคคลและสภาวะทางอารมณ์อีกด้วย

ลองพิจารณาตัวอย่างของนักกีฬาในการฝึกซ้อม ประสิทธิภาพทางกายภาพมีช่วงสูงสุดและต่ำสุดเป็นส่วนหนึ่งของระบบการฝึกซ้อมของนักกีฬา ด้วยการทำความเข้าใจและคาดการณ์จังหวะธรรมชาติเหล่านี้ นักกีฬาสามารถวางแผนการพักผ่อนและการฟื้นฟูร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการแข่งขัน การใช้จังหวะเชิงกลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความพร้อมทางจิตใจอีกด้วย

ความเข้าใจเรื่องจังหวะนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วมเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมและการจัดการอย่างแข็งขันเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ นักปราชญ์เฮอร์มีสตระหนักถึงอิทธิพลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของหลักการนี้ในทุกแง่มุมของชีวิต จึงได้พัฒนาวิธีการเพื่อเอาชนะผลกระทบที่อาจก่อกวนได้

พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่า “กฎแห่งการทำให้เป็นกลางทางจิต” (Mental Law of Neutralization) ด้วยกฎนี้ พวกเขาไม่ได้หยุดลูกตุ้มไม่ให้แกว่ง แต่เรียนรู้ที่จะสร้างจุดสมดุลทางจิตใจ ซึ่งผลกระทบจากการแกว่งถึงขีดสุดนั้นมีเพียงเล็กน้อย

จากความเข้าใจพื้นฐานของหลักการแห่งจังหวะ นักปราชญ์เฮอร์มีสได้นำความรู้นี้ไปสู่ขอบเขตของ “ศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุทางจิต” (Mental Alchemy) ที่พวกเขามีส่วนร่วมและปรับจังหวะตามธรรมชาติเหล่านี้อย่างแข็งขัน เพื่อส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคลและความเชี่ยวชาญ โดยการใช้กฎแห่งการทำให้เป็นกลางทางจิต

พวกเขาสามารถรักษาความสงบและความสมดุลได้ แม้ในขณะที่โลกแกว่งไกวอย่างรุนแรงรอบตัวพวกเขา การฝึกฝนนี้เปรียบได้กับนักเต้นที่เคลื่อนไหวอย่างสง่างามไปตามจังหวะดนตรี โดยปรับเปลี่ยนขั้นตอนและจังหวะอย่างมีสติเพื่อให้คงความกลมกลืนกับจังหวะ

ศิลปะของการอดอาหาร ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหลักการนี้ที่นำมาใช้กับวินัยส่วนบุคคลและสุขภาพ ความหิว เช่นเดียวกับความรู้สึกทางร่างกายทั้งหมด เป็นไปตามรูปแบบที่มีจังหวะ ค่อยๆเพิ่มขึ้นและลดลงตลอดทั้งวัน

ด้วยการเลือกเวลาและวิธีรับประทานอาหาร บุคคลสามารถควบคุมจังหวะนี้ได้ โดยใช้อดอาหารเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและความแจ่มใสทางจิตใจ ด้วยวิธีนี้ การอดอาหารไม่ใช่แค่การปฏิเสธอาหาร แต่เป็นการมีส่วนร่วมเชิงรุกกับวัฏจักรตามธรรมชาติของร่างกาย

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ทรงพลังของหลักการนี้คือการควบคุมอารมณ์ อารมณ์ก็มีวัฏจักรเช่นกัน มีช่วงเวลาที่รุนแรงสลับกับช่วงเวลาที่สงบ เมื่อตระหนักถึงรูปแบบเหล่านี้ บุคคลจะสามารถจัดการกับการตอบสนองทางอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น คนที่เข้าใจธรรมชาติของความเศร้าโศกหรือความสุขที่มีจังหวะ ก็จะสามารถรับมือกับอารมณ์เหล่านี้ได้ดีขึ้นโดยไม่ถูกครอบงำ

เฮอร์มีส กล่าวไว้อย่างเหมาะเจาะว่า “ผู้มีปัญญารับใช้สิ่งที่สูงกว่า แต่ปกครองสิ่งที่ต่ำกว่า” ซึ่งเป็นอุปมาสำหรับผู้ที่เข้าใจกฎที่สูงกว่า เช่น หลักการแห่งจังหวะ สามารถที่จะควบคุมสภาวะและอารมณ์ภายในของตนเองได้

ความเชี่ยวชาญในจังหวะภายในของตนเองนั้น มีความหมายอย่างลึกซึ้งต่อภาวะผู้นำและอิทธิพล ผู้นำที่เข้าใจและใช้ประโยชน์จากหลักการแห่งจังหวะ สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ตลาดหรือกลุ่มสังคมของพวกเขาได้ดีขึ้น นำพาหน่วยงานเหล่านี้ผ่านความผันผวนด้วยการมองการณ์ไกลและความมั่นคง

ผู้นำเหล่านี้เปรียบเสมือนกัปตันผู้เชี่ยวชาญที่นำทางเรือของพวกเขาฝ่าทะเลที่มีพายุ ด้วยความเข้าใจในจังหวะของมหาสมุทร นอกจากนี้ ในบริบททางปรัชญาที่กว้างขึ้น หลักการนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของจังหวะเวลาในทุกด้านของชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นการรู้จังหวะเวลาที่เหมาะสมในการพูดหรือการลงมือทำ การลงทุนหรือถอนทุน หลักการแห่งจังหวะบอกเราว่าทุกสิ่งมีเวลาและฤดูกาลของมัน “ทุกสิ่งมีฤดูกาล และทุกวัตถุประสงค์ใต้ฟ้าสวรรค์มีเวลา” ดังที่สะท้อนให้เห็นในภูมิปัญญาโบราณของพระธรรมปัญญาจารย์ ซึ่งสอดคล้องกับความเข้าใจของเฮอร์มีสเกี่ยวกับจังหวะ

สรุปได้ว่า หลักการแห่งจังหวะไม่ได้เป็นเพียงแค่คำอธิบายสำหรับการขึ้นลงตามธรรมชาติของชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นกรอบกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุความสมดุลและความเชี่ยวชาญ

หากเข้าใจและมีส่วนร่วมกับหลักการนี้บุคคลสามารถก้าวข้ามการแกว่งไกวที่วุ่นวายของโชคชะตาและสถานการณ์ นำตนเองไปสู่จุดสมดุลที่สามารถดำเนินการด้วยสติปัญญาและประสิทธิผล

นักปฏิบัติตามหลักการนี้จริงๆสามารถเปลี่ยนสิ่งที่อาจเป็นการยอมจำนนต่อชะตาชีวิตให้กลายเป็นการควบคุมโชคชะตาของตนเองอย่างแข็งขันผ่านความเชี่ยวชาญนี้ โดยจัดจังหวะส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับจังหวะการสร้างสรรค์ของจักรวาล ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและความสำเร็จส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยให้เกิดความกลมกลืนและสมดุลในโลกที่กว้างใหญ่ขึ้นด้วย

เราจะนำหลักการแห่งจังหวะมาประยุคต์ใช้ในชีวิตปรจำวันได้อย่างไร

  • การยอมรับความเปลี่ยนแปลง
    ทุกสิ่งในชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป เมื่อเรายอมรับความจริงข้อนี้ เราจะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ความสำเร็จหรือความล้มเหลว เราจะเข้าใจว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งในวัฏจักรของชีวิตและพร้อมที่จะรับมือกับมันได้อยู่ตลอดเวลา
  • การรักษาสมดุล
    ในชีวิตประจำวัน เราควรพยายามรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน การใช้ชีวิตทางโลกและการพัฒนาจิตวิญญาณ การให้และการรับ การอยู่คนเดียวและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การรักษาสมดุลจะช่วยให้เราไม่เครียดหรือเหนื่อยล้าเกินไป
  • การรู้จักจังหวะของตัวเอง
    แต่ละคนมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะทำงานได้ดีในตอนเช้า บางคนอาจจะชอบทำงานในตอนกลางคืน บางคนอาจจะชอบเข้าสังคม บางคนอาจจะชอบอยู่คนเดียว การรู้จักจังหวะของตัวเองจะช่วยให้เราวางแผนชีวิตและจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้ประโยชน์จากช่วงขาขึ้น
    เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในช่วงขาขึ้น มีพลัง มีแรงบันดาลใจ เราควรใช้โอกาสนี้ในการทำสิ่งที่สำคัญ ทำงานที่ท้าทาย หรือเริ่มต้นโครงการใหม่ๆ และสะสมทรัพยากร(รวมถึงทรัพย์สินเงินทอง) เตรียมแผนการต่างๆให้พร้อมเพื่อรับมือช่วงขาลง
  • การเตรียมพร้อมสำหรับช่วงขาลง
    เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในช่วงขาลง เหนื่อยล้า หมดกำลังใจ เราควรพักผ่อน ดูแลตัวเอง ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารัก การเตรียมพร้อมสำหรับช่วงขาลงจะช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปได้ง่ายขึ้น
  • การเรียนรู้จากประสบการณ์
    ทุกช่วงเวลาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงขาขึ้นหรือขาลง ล้วนมีคุณค่าและมีบทเรียนให้เราเรียนรู้ เราควรใช้ประสบการณ์เหล่านี้เพื่อพัฒนาตนเองและเติบโตขึ้น

หลักการข้อที่หก คือหลักการแห่งเหตุและผล ทุกเหตุมีผลของมัน ทุกผลมีเหตุของมัน ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามกฎ

Kybalion สรุปหลักการแห่งเหตุและผล ยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรืออุบัติเหตุ สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความสุ่มที่เราสังเกตเห็น เป็นเพียงการรับรู้ที่จำกัดของเราเกี่ยวกับจักรวาลที่มีระเบียบที่ใหญ่กว่า

คำว่า “บังเอิญ” ที่พวกมนุษย์ใช้กันทุกวันนี้เป็นเพียงชื่อเรียกของกฎที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก มีหลายระดับของเหตุและผลอยู่อยู่เบื้องหลังของความบังเอิญนั้นแต่อยู่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะวัดและอธิบายความบังเอิญนั้นๆได้อย่างจริงๆได้ แต่ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นกฎได้

Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) ได้อธิบายหลักการนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “ผู้มีปัญญาคือผู้ที่รู้ความจริงแห่งเหตุและผล และควบคุมโซ่ตรวนที่ผูกมัดดวงดาว

หลักการนี้ประกาศว่าทุกการกระทำ ความคิด และเหตุการณ์ ล้วนเป็นผลมาจากชุดของเหตุและผลที่แม่นยำ ทำให้จักรวาลเป็นดินแดนแห่งกฎและระเบียบ ไม่ใช่ดินแดนแห่งความโกลาหลและความบังเอิญ บุคคลสามารถก้าวขึ้นจากการเป็นเพียงผู้มีส่วนร่วมในจักรวาล ไปสู่การเป็นสถาปนิกแห่งความเป็นจริงของตนเองได้โดยการทำความเข้าใจหลักการนี้อย่างลึกซึ้ง

ลองพิจารณาตัวอย่างของนักธนู เมื่อลูกธนูถูกเป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งทักษะของนักธนู ทิศทางลม ความตึงของคันธนู และการออกแบบลูกธนู แต่ละสิ่งล้วนเป็นเหตุที่มีผลเฉพาะเจาะจง เมื่อเชี่ยวชาญตัวแปรเหล่านี้ นักธนูจะเปลี่ยนจาก “หวัง” ว่าจะยิงถูกเป้าหมาย เป็น “มั่นใจ” ว่าจะยิงถูก

ในทำนองเดียวกันความเข้าใจเรื่องเหตุและผลทำให้เราสามารถควบคุมตัวแปรในชีวิตของเราได้ เปลี่ยนผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นให้เป็นผลลัพธ์ที่คาดหวัง ในขอบเขตของการพัฒนาตนเอง

หลักการนี้สอนให้รู้ว่าทุกความคิดและการกระทำ ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ ยกตัวอย่างเช่น นิสัยง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การตื่นเช้า

อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับก่อให้เกิดผลกระทบมากมาย ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไปจนถึงสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ด้วยการเลือกนิสัยและการกระทำของเราอย่างมีสติ เราจึงสามารถกำหนดชีวิตของเราเองได้

ตามผลลัพธ์ที่เราต้องการจะบรรลุ ในระดับที่ใหญ่กว่านั้น หลักการนี้สามารถเห็นได้ในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การขึ้นและล่มสลายของอาณาจักร การเปลี่ยนแปลงของอำนาจทางเศรษฐกิจ และแม้กระทั่งความก้าวหน้าทางความคิดทางวิทยาศาสตร์ ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งเหตุและผล

นักประวัติศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ศึกษาสาเหตุเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบ ดังนั้นจึงได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สามารถคาดการณ์และมีอิทธิพลต่อแนวโน้มในอนาคต

นักปราชญ์เฮอร์มีสนำความเข้าใจนี้ไปสู่อีกระดับ พวกเขาไม่เพียงแค่ตอบสนองต่อสาเหตุที่ผู้อื่นกำหนดหรือจากสถานการณ์ภายนอกเท่านั้น แต่พวกเขาวางตำแหน่งตนเองเป็นสาเหตุหลักในชีวิตของพวกเขา “ปากแห่งปัญญาปิดสนิท ยกเว้นสำหรับหูแห่งความเข้าใจ” เฮอร์มีสกล่าวไว้ ซึ่งบ่งบอกว่าความเชี่ยวชาญที่แท้จริงของหลักการนี้ไม่ใช่แค่ความรู้เชิงปัญญาเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าจะนำไปใช้ในทุกด้านของชีวิตได้อย่างไร

เราจะนำหลักการแห่งเหตุและผลมาประยุคต์ใช้ในชีวิตปรจำวันได้อย่างไร

ในการประยุกต์ใช้หลักการแห่งเหตุและผล ปรมาจารย์เฮอร์มีสสอนว่า เราสามารถขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นของการดำรงอยู่ได้ ในระดับเหล่านี้ เราจะไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโชคชะตา แต่เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตนเอง

การขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นนี้เกิดขึ้นได้ผ่านการฝึกฝนทางจิตใจและจิตวิญญาณอย่างมีวินัย ซึ่งจะปรับความสั่นสะเทือนส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยการสร้างเหตุที่จะนำไปสู่ผลที่ตั้งใจไว้อย่างมีสติ

ด้วยการระลึกถึงหลักการแห่งเหตุและผลตลอดกิจกรรมประจำวัน ดังที่ได้แนะนำ บุคคลจะตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าความคิดและการกระทำของพวกเขากำหนดความเป็นจริงของพวกเขาอย่างไร

ความตระหนักรู้นี้ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอย่างมีสติ โดยที่ทุกความคิด คำพูด และการกระทำล้วนถูกเลือกเพื่อให้เกิดผลเชิงบวก ค่อยๆ สร้างความเป็นจริงที่สะท้อนถึงแรงบันดาลใจสูงสุดของตนเอง ดังนั้น

หลักการแห่งเหตุและผลจึงไม่ได้เป็นเพียงกรอบความคิดอันทรงพลังสำหรับการทำความเข้าใจจักรวาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตำแหน่งของเราในจักรวาลอีกด้วย มันช่วยให้เรามีชีวิตอยู่อย่างมีจุดมุ่งหมาย ปรับการกระทำของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของเรา และในการทำเช่นนั้น เราจึงเปลี่ยนจากผู้สังเกตการณ์แห่งโชคชะตาที่เฉยเมย เป็นผู้สร้างโชคชะตาของเราเองอย่างแข็งขัน

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการนำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

การวิเคราะห์ปัญหาและการตัดสินใจ
เมื่อเผชิญกับปัญหาหรือต้องตัดสินใจ ให้ลองพิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจแต่ละทาง การทำความเข้าใจเหตุและผลจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
หลักการนี้สอนให้เราตระหนักว่าการกระทำทุกอย่างของเราล้วนมีผลกระทบ ไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบ การยอมรับความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง (Take Responsibility) จะช่วยให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาด และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

การสร้างนิสัยที่ดี
การกระทำซ้ำ ๆ จะกลายเป็นนิสัย และนิสัยก็จะส่งผลต่อชีวิตของเราในระยะยาว การทำความเข้าใจหลักการนี้จะช่วยให้เรามีสติในการเลือกกระทำสิ่งที่ดี และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดี เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเอง

การพัฒนาความสัมพันธ์
การกระทำของเราส่งผลต่อผู้อื่นเช่นกัน การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพและความเข้าใจ จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และนำไปสู่ความสุขในชีวิต ให้ตระหนักไว้เสมอว่าผลที่คนอื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไรมาจากเหตุซึ่งก็คือการที่เราปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไรก่อน

การวางแผนและการตั้งเป้าหมาย
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้เราก้าวไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ การทำความเข้าใจเหตุและผลจะช่วยให้เราวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับเปลี่ยนแผนการได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

การพัฒนาตนเอง
เมื่อเราเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผล เราจะสามารถมองเห็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว

หลักการข้อที่เจ็ดหลักการแห่งเพศกล่าวว่า ทุกสิ่งล้วนมีเพศ ทุกสิ่งมีหลักการของความเป็นชายและหญิง เพศแสดงออกในทุกระดับ นี่คือคำยืนยันจาก Kybalion ที่แนะนำหลักการแห่งเพศ ซึ่งเน้นย้ำถึงการมีอยู่ของพลังงานทั้งชายและหญิงในทุกแง่มุมของการดำรงอยู่

หลักการนี้เป็นหลักการที่เข้าใจยากที่สุดในหลักการทั้งเจ็ด ดังนั้นเราจะใช้เวลาในการอธิบายอย่างละเอียดเป็นพิเศษ แต่เชื่อว่าหลังจากที่คุณตั้งใจอ่านจนจบคุณจะเข้าใจความหมายของหลักการนี้ขึ้นมาอย่างชัดเจน

หลักการแห่งเพศในทรรศนะของศาสตร์เฮอร์เมสนั้นมีความหมายลึกซึ้งและกว้างขวางมากกว่าที่เราคุ้นเคยในแง่ของเพศสภาพทางชีววิทยา

หลักการนี้กล่าวว่า ในทุกสรรพสิ่งย่อมประกอบไปด้วยพลังงานสองด้านคือเชิงบวกและเชิงลบ หรือเรียกว่าพลังงานเพศชายและเพศหญิง ซึ่งจำเป็นต้องมีความสมดุลเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ขึ้น

หลักการนี้แผ่ขยายไปในทุกมิติ ตั้งแต่ระดับจุลภาคของอะตอม จนถึงระดับจักรวาลอันกว้างใหญ่ ณ ระดับอะตอม เรามองเห็นการมีอยู่ของประจุบวกและประจุลบที่หมุนเวียนกันอย่างสมดุล ในระดับมนุษย์นั้น เรามีพลังงานทั้งเพศชายและเพศหญิงแฝงอยู่ภายใน เมื่อพลังงานทั้งสองสมดุลกันจึงจะนำไปสู่สุขภาวะที่สมบูรณ์

แม้แต่ในระดับจักรวาล เราเห็นการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันของกลางวันและกลางคืน ฤดูร้อนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นการสะท้อนการครองสมดุลระหว่างพลังบวกและลบ ความเข้าใจในหลักการนี้จึงนำพาเราไปสู่ภาวะกลมกลืนกับธรรมชาติและจักรวาล สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อย่างสอดคล้องกับหลักการนี้

การทำงานร่วมกันอย่างสมดุลของพลังงานเพศชายและเพศหญิงนั้นเป็นหัวใจสำคัญของการเคลื่อนไหวในจักรวาล ดังที่เฮอร์เมสได้กล่าวไว้ การผสมผสานอย่างกลมกลืนของทั้งสองพลังงานนี้เป็นพื้นฐานของความสมดุลในจักรวาลทั้งปวง

เรามองเห็นหลักการนี้ได้อย่างชัดเจนในธรรมชาติ โดยการสืบพันธุ์ของพืชและสัตว์ต้องอาศัยการรวมกันอย่างลงตัวของเพศผู้และเพศเมียเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่ แต่นอกเหนือไปจากนั้น หลักการเรื่องพลังงานทั้งสองด้านยังเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา

ภายในตัวเรามีทั้งพลังดุดันและอ่อนโยน มีทั้งเหตุผลและอารมณ์ความรู้สึก เมื่อพลังงานเหล่านี้สมดุลกันจะนำไปสู่ภาวะสุขภาพกาย สติปัญญา และจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อประสบการณ์ ความคิด และการแสดงออกของเราในทุกรูปแบบ

การเข้าใจหลักการนี้อย่างถ่องแท้จะนำพาเราสู่การดำเนินชีวิตอย่างมีดุลยภาพ สร้างความกลมกลืนกับธรรมชาติและจักรวาลอย่างแท้จริง พร้อมที่จะนำพลังของหลักการเพศมาใช้เพื่อการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณไหม

อย่างไรก็ตามในระดับที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งกว่านั้น พลังงานทั้งสองด้านนี้มิได้แสดงออกในรูปแบบตรงตัวของเพศชายและหญิงตามแนวคิดทางชีววิทยา แต่กลายเป็นพลังงานที่หนุนเสริมพลังซึ่งกันและกันเพื่อการเติบโตและดุลยภาพของจิตสำนึก

ดังที่กล่าวถึงการตีความในเชิงจิตวิทยา คุณลักษณะด้านเหตุผล ความมั่นใจและการวิเคราะห์ เป็นตัวแทนของพลังงานด้านชาย ขณะที่ด้านสัญชาตญาณ การเปิดรับและการดูแลเอาใจใส่เป็นตัวแทนของพลังงานด้านหญิง คุณลักษณะเหล่านี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง แต่แฝงอยู่ในทุกบุคคลโดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพ

การมีสมดุลและผสมผสานอย่างกลมกลืนของคุณลักษณะทั้งสองด้านนี้ในจิตใจนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานที่สมบูรณ์ของจิตสำนึก ช่วยให้เราสามารถมีมุมมองที่รอบด้าน ทั้งเชิงวิเคราะห์และเชิงอารมณ์ความรู้สึก เกิดสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ สามารถตัดสินใจอย่างมีสมดุลและคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม

ความเข้าใจหลักการเรื่องพลังงานคู่ตรงข้ามนี้ในระดับจิตจึงนับเป็นกุญแจสำคัญสู่การหลุดพ้นจากความเข้าใจที่จำกัดและสมดุลในการดำเนินชีวิต เปิดโอกาสให้เราเจริญก้าวหน้าและค้นพบศักยภาพสูงสุดของตนเองได้อย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมักต้องใช้ทั้งวิธีการที่มีเหตุผลและเป็นระบบ (ความเป็นชาย) และความเห็นอกเห็นใจและสัญชาตญาณ (ความเป็นหญิง) เพื่อทำความเข้าใจทุกแง่มุมของปัญหาและคิดค้นวิธีแก้ปัญหาที่ครอบคลุม

นอกจากนี้หลักการแห่งเพศยังแสดงให้เห็นในขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมอีกด้วย แรงบันดาลใจเริ่มต้นของความคิด มักจะมาจากแง่มุมของความเป็นชายที่เกี่ยวกับการริเริ่มและทิศทาง ซึ่งจะต้องได้รับการหล่อเลี้ยงและพัฒนา ซึ่งเป็นกระบวนการที่มาจากคุณสมบัติของความเป็นหญิงที่เกี่ยวกับการเติบโตและการพัฒนา

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหา การสร้างสรรค์งานใหม่ๆ หรือการดำเนินชีวิตโดยรวม การมีสมดุลของพลังด้านชายและด้านหญิงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความสมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับหลักการแห่งเพศของศาสตร์เฮอร์เมสโดยแท้

เพื่อที่จะทำให้ความพยายามในการสร้างสรรค์ใดๆ บรรลุผล ในบริบททางจิตวิญญาณ คัมภีร์โบราณมักพูดถึง “การแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์” (Sacred Marriage) ซึ่งเป็นการรวมกันอย่างลึกลับของพลังแห่งสวรรค์ทั้งชายและหญิงภายในแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเส้นทางสู่ความเป็นทั้งหมดและการตรัสรู้

การรวมกันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเพศทางกายภาพ แต่เป็นเรื่องของการสร้างสมดุลระหว่างพลังงานเชิงรุกและเชิงรับที่มีอยู่ในจักรวาลและภายในตัวเราผ่านมุมมองของปรัชญาเฮอร์เมติก การเข้าใจหลักการแห่งเพศอย่างถ่องแท้หมายถึงการทำความเข้าใจและสร้างความกลมกลืนระหว่างพลังงานชายและหญิงเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เพื่อให้เกิดความสมดุลและความเป็นอยู่ที่ดีในระดับบุคคลเท่านั้น แต่ยังเพื่อร่วมสร้างสรรค์ความเป็นจริงของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

การเข้าใจและควบคุมพลังชายหญิงในตัวเองก็เหมือนกับการเรียบเรียงเพลงซิมโฟนี ผลที่ได้คือชีวิตที่กลมกลืน เหมือนที่เทพเฮอร์มีสบอกไว้ ถ้าเราลองศึกษาเรื่องพลังชายหญิงต่อ เราจะเห็นว่ามันสำคัญมาก ไม่ใช่แค่ทำให้เราสมดุลขึ้น แต่ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราด้วย หลักการนี้สอนเราว่าพลังชายหญิงต้องทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสมดุลและความกลมกลืนในทุกสิ่ง

ในโลกของความคิดและศิลปะ พลังชายหญิงแสดงออกมาผ่านความสมดุลระหว่างการคิดและการลงมือทำ พลังชายมักเกี่ยวกับการเริ่มต้นและความคิดเชิงทฤษฎี ทำให้เกิดไอเดียและแผนการ ในทางกลับกัน พลังหญิงเกี่ยวกับการดูแลและขยายความ ช่วยให้ไอเดียเหล่านั้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ยกตัวอย่างเช่น ในการเขียนนิยาย พลังชายจะเป็นตัวกำหนดโครงเรื่อง ในขณะที่พลังหญิงจะช่วยพัฒนาตัวละครและฉาก ทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวาและเข้าถึงผู้อ่านได้ง่าย

ในโลกธุรกิจ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะใช้พลังชายหญิงอย่างสมดุล พวกเขาจะกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนด้วยพลังชาย พร้อมกับสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนและเข้าอกเข้าใจด้วยพลังหญิง ทำให้ทีมงานเติบโตและทำงานร่วมกันได้ดี ความสมดุลนี้จะช่วยให้บริษัทไม่เพียงบรรลุเป้าหมาย แต่ยังสามารถปรับตัวและพัฒนาต่อไปได้ด้วยการดูแลบุคลากร หลักการของพลังชายหญิงยังมีความหมายทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง

ในหลายความเชื่อทางศาสนา เส้นทางสู่การตรัสรู้คือการรวมพลังชายหญิงในตัวเองเข้าด้วยกัน กระบวนการนี้มักถูกเรียกว่าเป็นศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุภายในจิตวิญญาณ การรวมกันทางจิตวิญญาณนี้จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ ซึ่งทำให้เราหลุดพ้นจากความเป็นคู่ของโลก ไปสู่สภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง เหมือนที่เทพเฮอร์มีส ทรีสเมกิสตัส เคยกล่าวไว้ว่า นักเล่นแร่แปรธาตุที่แท้จริงไม่ได้ต้องการเปลี่ยนโลหะธรรมดาให้เป็นทองคำ แต่ต้องการรวมดวงอาทิตย์ (พลังชาย) และดวงจันทร์ (พลังหญิง) เข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ หลักการของพลังชายหญิงยังมีบทบาทสำคัญในศาสตร์ทางจิตวิญญาณ เช่น ในศาสตร์การทำให้เป็นจริง การเข้าใจและใช้ทั้งหลักการชายและหญิง (ความตั้งใจและการเปิดรับ) เป็นสิ่งสำคัญ พลังชายจะทำหน้าที่กำหนดความตั้งใจ ในขณะที่พลังหญิงจะต้อนรับและสร้างเงื่อนไขให้สิ่งนั้นเป็นจริง วิธีการที่สมดุลนี้จะช่วยให้ความปรารถนาไม่เพียงถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนและมีสมาธิ แต่ยังได้รับอนุญาตให้พัฒนาและแสดงออกมาในเวลาและรูปแบบของมันเอง

แม้กระทั่งในการปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ส่วนตัว การตระหนักถึงหลักการนี้สามารถเพิ่มความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ การตระหนักว่าแต่ละคนมีพลังชายและหญิงที่สมดุลในแบบเฉพาะตัว สามารถนำไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์ที่ให้เกียรติและเติมเต็มซึ่งกันและกันมากขึ้น มันสอนเราว่า ความแข็งแกร่งของชุมชนหรือความสัมพันธ์อยู่ที่ความสามารถในการให้เกียรติพลังที่หลากหลายเหล่านี้ ซึ่งเอื้อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ที่สมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งขึ้น

สรุปได้ว่า หลักการของพลังชายหญิงไม่ได้เป็นเพียงตัวบ่งบอกเอกลักษณ์ทางเพศ แต่เป็นความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับกฎสากลของความสมดุลและการสร้างสรรค์ มันให้มุมมองที่ทำให้เราเข้าใจโลก มุมมองที่เผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและการพึ่งพาอาศัยกันของทุกสิ่ง

เมื่อเราเข้าใจหลักการนี้ เราจะสามารถสร้างสมดุลพลังภายในตัวเอง และสร้างความกลมกลืนในโลกภายนอกได้ ปัญญาโบราณที่ซ่อนอยู่ในหลักการนี้จะนำทางเราไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับจักรวาลและที่ของเราในจักรวาล กระตุ้นให้เราอยู่อย่างบุคคลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน สอดคล้องกับการเต้นรำของพลังงานสากล

  • ยอมรับและเคารพความแตกต่างระหว่างเพศ
    เข้าใจว่าเพศชายและเพศหญิงมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และบทบาททางสังคม การเปิดใจรับฟังมุมมองของแต่ละเพศจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและปรองดองกันได้ดียิ่งขึ้น
  • พัฒนาคุณลักษณะทั้งเชิงบวกและลบของตนเอง
    ทำความเข้าใจว่าในตัวตนของคนคนนึงรวมถึงตัวคุณเองด้วย เช่น พัฒนาความอ่อนโยน เมตตา กรุณา ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคุณลักษณะหญิง แต่ก็ต้องมีความเข้มแข็ง มุ่งมั่น ซึ่งเป็นคุณลักษณะชาย เพื่อให้ชีวิตมีดุลยภาพและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
  • สังเกตและเรียนรู้จากธรรมชาติรอบตัว
    ธรรมชาติมีทั้งองค์ประกอบหญิงและชาย เช่น พื้นดินกับน้ำ ต้นไม้กับแสงแดด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนและสมดุล
  • ใช้หลักการนี้ในการสร้างสรรค์งาน
    เมื่อเขเช่น ศิลปะการตกแต่งบ้าน ซึ่งต้องผสมผสานองค์ประกอบของความแข็งแกร่ง เรียบง่าย (ชาย) กับความอ่อนช้อย ประณีต (หญิง) ให้เข้ากัน
  • ประยุกต์ใช้ในการทำงานเป็นทีมหรือการบริหารจัดการ
    ให้มีทั้งผู้นำที่มีลักษณะการตัดสินใจเด็ดขาด แต่ก็ต้องมีทักษะการรับฟัง เข้าใจผู้อื่น และการประนีประนอม

ก็ได้มาถึงบทสรุปของเนื้อหาบทนี้แล้ว เราได้ตรวจสอบหลักการแห่งจิตนิยม (Mentalism) ซึ่งสอนว่า “ทั้งหมดคือจิต” จักรวาลเป็นจิตใจ โดยเน้นว่าทุกสิ่งปรากฏผ่านทางจิตใจ ต่อมาหลักการแห่งการสอดคล้อง (Correspondence) ซึ่งมีคำกล่าวที่มีชื่อเสียงว่า “เบื้องบนเป็นเช่นไร เบื้องล่างก็เป็นเช่นนั้น” ได้เผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างระนาบต่าง ๆ ของการดำรงอยู่

หลักการแห่งการสั่นสะเทือน (Vibration) ได้บอกเราว่าไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเคลื่อนไหว ทุกสิ่งสั่นสะเทือน เน้นย้ำถึงสถานะการเคลื่อนไหวที่คงที่ในจักรวาล

หลักการต่างขั้ว (Polarity) แสดงให้เราเห็นว่าทุกสิ่งมีสองด้าน ทุกสิ่งมีขั้ว ทุกสิ่งมีคู่ตรงข้าม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ตรงข้ามกันนั้นเหมือนกันในธรรมชาติ แตกต่างกันเพียงระดับ จากนั้น เราสำรวจหลักการแห่งจังหวะ (Rhythm) ซึ่งสังเกตว่าทุกสิ่งไหลเข้าและออก ทุกสิ่งมีกระแสของมัน ทุกสิ่งขึ้นและลง สอนเราเกี่ยวกับวัฏจักรธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อทุกแง่มุมของชีวิต

หลักการแห่งเหตุและผล (Cause and Effect) ย้ำเตือนว่าทุกสาเหตุมีผลของมัน ทุกผลกระทบมีสาเหตุของมัน ทำให้เรามั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของกฎสากล สุดท้าย หลักการแห่งเพศสภาพ (Gender) ชี้แจงว่าเพศมีอยู่ในทุกสิ่ง ทุกสิ่งมีหลักการของความเป็นชายและหญิง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพศในทางชีวะวิทยาเท่านั้น แต่ปรากฏในทุกระนาบมีอิทธิพลต่อการสร้างและการเกิดใหม่

Hermes Trismegistus (เฮอร์เมส ไตรสเมกิสติส) กล่าวไว้อย่างชาญฉลาดว่า “ผู้แสวงหาปัญญาคือผู้แสวงหาตนเอง เพราะเมื่อรู้จักตนเอง ก็จะรู้จักทั้งหมด” คำพูดนี้เชื้อเชิญให้เราไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่าหลักการเหล่านี้มีอยู่ในชีวิตของเราอย่างไร และเราจะปรับตัวให้สอดคล้องกับหลักการเหล่านี้ได้อย่างไร

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *