หากคุณได้ติดตามอ่านเนื้อหาของเว็บ sedtee.com มาพอสมควรก็พอจะจับใจความหลักๆของเนื้อหาโดยรวมนี้ได้ว่า มันคือการที่ทางเราพยายามสื่อสารออกไปว่า ขอให้รู้ว่าตัวคุณต้องการอะไร พอรู้ว่าต้องการอะไรและต้องการมันอย่างมากแล้ว ทุกอย่างภายในตัวคุณจะหาทางไปให้ถึงจุดนั้น หรือทำให้ได้ตามความต้องการหรือเป้าหมายนั้น
วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญในชีวีติเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องเป้าหมาย
เราคงได้ยินได้ฟังกันมานาน บางทีอาจจะบ่อยจนน่าเบื่อ เป็นเรื่องเป้าหมายอีกแล้ว ใครๆก็รู้ว่าต้องมีเป้าหมาย แล้วมันจะช่วยอะไรได้ ทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
แต่จากการวิจัยแบบจริงๆจังพบว่า หากถามเอาคำตอบจริงๆจากคนที่คิดว่ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจเลยว่าในชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ไม่สามารถระบุออกมาได้แน่ชัดว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร ถ้าให้ตอบจริงๆก็จะบอกว่าอยากมีเงินเยอะ อยากมีเวลา อยากทำอะไรก็อยากทำ
แต่ก็จะคำถามต่อไปคือ ที่ว่าอยากมีเงินยอะๆ เยอะเท่าไหร่ อยากเอาเวลาไปทำอะไร แล้วที่ว่าอะไรที่อยากทำจริงๆแล้วต้องการทำอะไร เชื่อหรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่จะตอบแบบละเอียดไม่ได้เลยเพราะพวกเขาไม่ได้สอนให้รู้จักความสำคัญของเป้าหมายตั้งแต่ตอนเริ่มต้นชีวิต อีกเหตุผลคือคนเรามักจะมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนหรือแรงต่อต้านจากภายในกับสิ่งที่เราต้องการที่มันดูเกินตัวเกินความสามารถของตัวเอง ณ ตอนนั้น
ในขณะเดียวกันหากศึกษาจากชีวิตคนอื่นที่เขานำประวัติตัวเองมาเขียนมาเล่า หรือเรื่องราวของคนที่มีคนพูดถึงเยอะๆ คนที่ประสบความสำเร็จ จะพบว่าแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเป้าหมายในชีวิต รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
เป้าหมาย หากมองผิวเผิน บางทีมันง่ายและอยู่ใกล้เราซะเรามองข้ามมันไป ไม่เชื่อว่ามันจะมีความสำคัญมากขนาดนั้น
ครั้งหนึ่งราวๆ 50 ปีที่แล้ว เอิร์ล ไนติงเกล บิดาแห่งการพัฒนาสร้างแรงจูงใจ ได้ก่อตั้งบริษัทประกันภัย อธิบายในเทปที่เขาแจกให้พนักงานในบริษัทของตัวเองเพื่อกระตุ้นว่าการมีเป้าหมายและคิดถึงเป้าหมายนั้นมันเป็นความลับที่แปลกประหลาดที่สุด
เทปชุดนั้นจุดประกายคนนับแสนให้ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมาย ในที่สุดก็ได้พัฒนาเป็นเทปชุดแรกในประวัติมนุษย์ที่ไม่ใช่เทปเพลงที่ขายได้เกิน 1 ล้านแผ่น นั่นคือเขาพูดเรื่องหากมีเป้าหมายแล้วคนส่วนมากมักจะประสบความสำเร็จ
- ทำไมการตั้งเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ?
- หากมันสำคัญขนาดนั้นแล้วทำไมผู้คนทั่วไปถึงไม่ทำกัน?
- แล้วการตั้งเป้าหมายมันช่วยให้เราบรรลุในสิ่งที่เราต้องการได้ยังไง มันเป็นคอนเซ็บต์ง่ายๆ แต่ช่วยเราได้จริงเหรอ?
นี่เป็นคำถาม ที่เราจะมาหาคำตอบกันในวันนี้
ข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นการรวบรวมมาจากหลายๆแหล่ง ซึ่งเป็นแนวความคิดของบุคคลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งในอดีต และปัจจุบัน บุคคลเหล่านี้ถ่ายทอดเนื่อหาและแนวคิดออกผ่านมาทางหนังสือ สัมนา คอร์สต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์
แนวคิดและเนื้อที่จะเสนอนี้ได้รับการยอมรับสร้างให้ประสบความสำเร็จในอดีตและปัจจุบันมาแล้วทั่วโลก ซึ่งแนวคิดนี้จะเป็นจริงหรือไม่นั้นคงต้องไปดูกัน และมีคุณเท่านั้นที่จะพิสุจน์ผ่านการนำไปประยุคต์ใช้และบอกได้ว่ามันได้ผลหรือไม่
การค้นพบอันยิ่งใหญ่ – การตั้งเป้าหมายคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จทำสำเร็จมาแล้วบอกว่าเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาได้พิสุจน์ด้วยตัวของเขาเองแล้วว่าการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความสำเร็จที่สุดในชีวิตเขา มันเป็นจุดเริ่มต้นของความอดทน ความขยัน ความตั้งใจ และที่สำคัญที่สุดคือเป้าหมายได้สร้างพลังอันลี้ลับทำให้คนได้สิ่งที่เขาต้องการ
ความลับนี้มันก็แอบซ่อนอยู่ในทุกๆที่ในชีวิตเรา และมักเป็นที่หาง่ายที่สุดด้วย แต่เรามองไม่เห็นมัน จะเห็นได้จากเรื่องการตั้งหมายนี้น้อยคนนักที่เรารู้จักรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือรู้แล้วแต่ไม่ได้เห็นค่าของมัน เพราะมันดูง่ายเกินไป แสดงว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านี้ที่สนใจและจริงจังเรื่องนี้
ความสำคัญของการตั้งเป้าหมายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกคู่กับประวิติศาสาตร์มนุษย์มากว่าพันๆปีในรูปแบบของนิทาน คำสอน คำอุปมาอุปไมย ฯลฯ
เมื่อพูดถึงเป้าหมายก็ต้องพูดถึงในสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราต้องการนั้นเริ่มมาจากความคิด มักมีคำที่ปรากฏตามคำสอน สุภาษิต บันทึกโบราณที่ถ่ายทอดกันมาปรากฏในหลายๆรูปแบบเช่นคัมภีร์ของแต่ละศาสนา อักษรจารึก ฯลฯ ว่าการค้นพบว่าตัวเองต้องการอะไร คือกุญแจสู่ความสำเร็จทั้งปวง
ตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผู้สอนการตั้งเป้าหมาย
มีตัวอย่างมากมายที่ถ่ายทอดออกมาว่าการตั้งเป้าหมายทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จ แต่วันนี้จะขอยกตัวอย่างคนนึงที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก ในวงการพัฒนาตัวเอง (Personal Development) เขาเริ่มต้นจากการที่ไม่มีการศึกษา เรียนไม่จบ ไม่มีความรู้ เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักที่สุดในเรื่องการสอนตั้งเป้าหมาย
เขาชื่อ Brian Tracy ผู้เขียนหนังสือที่เรารู้จักกันมากเล่มหนึ่งคือ (Eat That Frog) กินกบตัวนั้นซะ No Excuses! The 21 Success Secrets of Self-Made Millionaires และ Goals!: How to Get Everything You Want Faster Than You Ever Thought Possible
เขาเริ่มต้นด้วยชีวิตในครอบครัวที่ยากจน พอถึงวัยรุ่นก็ออกจากโรงเรียนมาทำงานใช้แรงงาน เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน เริ่มด้วยงานล้างจาน หลังจากนั้นเป็นพนักงานล้างรถ พนักงานทำความสะอาด เปลี่ยนไปเป็นคนงานในโรงงาน คนงานในฟาร์ม คนงานขุดดิน คนงานขุดดิน แรงงานก่อสร้าง
หลังจากทำงานใช้แรงงานอยู่หลายปีไม่มีอะไรขึ้นมา จึงเปลี่ยนมาเป็นพนักงงานขายบ้าง เดินไปเคาะประตูขายไปเรื่อยๆ ไม่มีเงินเงินเดือนอาศัยค่าคอมมิสชั่น บางเดือนก็ได้บางเดือนก็ไม่ได้
หลังจากทำอยู่หลายปี วันหนึ่งเขาก็ได้อ่านเรื่องการตั้งเป้าหมาย เขาก็เลยมานั่งคิดว่าลองทำดูก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มันไม่ได้เสียอะไรนี่ และหยิบกระดาษมาเขียนเป้าหมายตัวเอง โดยเขียนเล่นๆว่ามีรายได้ 1,000 เหรียญภายใน 30 วัน (เมื่อ 40 ปีที่แล้วก็ถือว่าเยอะพอสมควร)
หลังจากที่มีเป้าหมายแล้ว เขาก็บอกตัวเองว่าถ้างั้นก็ต้องขยันอีกนิดสิ ไหนๆก็มีเป้าหมายแล้วนี่ ก็เลยขยันขึ้นมากๆ ไปพบลูกค้ามาขึ้น ขายได้มากขึ้น แต่ทำไปๆกลับมาดีตัวเลขทางการเงินของตัวเองแล้วก็คิดว่าท่าทางก็ไม่น่าจะมีรายได้ถึง 1,000 เหรียญอย่างที่ตั้งเป้าได้เพราะมันก็ยังเหลืออีกเยอะโขเลย
แต่ก็ต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!!! ไม่กี่วันก่อนครบ 30 วันของเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ ได้มีบริษัทที่ใหญ่กว่ามาซื้อบริษัทที่เขาทำอยู่ และเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและเสนอให้เขาควบคุมพนักงานขายและให้เงินเดือน 1,000 เหรียญ เป็นวันที่ 30 ที่เขาตั้งเป้าหมายไว้พอดิบพอดี
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหนือความคาดหมายของเขามาก ซึ่งเขาก็คิดว่าบังเอิญจังเลยแฮะ และบอกกับตัวเองว่างั้นเอางี้ ลองตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเช่นเป้าหมาย 1 ปี พอสำเร็จก็ลองตั้งเป้าหมายใหญ่ขึ้นไปอีก 3 ปี 5 ปี แล้วพยายามทำเป้าหมายนั้นดูว่าจะได้ไหม
จากที่เป็นคนไม่มีบ้านจะอยู่ ก็เลยเขียนเป้าหมายไว้ว่าจะมีบ้านมีรถเบนซ์ขับ หลังจากทำงานขยัน ทุกๆอย่างก็ดีขึ้นๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขามาประจักษ์กับตัวเองว่าการตั้งเป้าหมายมันสำคัญอย่างนี้นี่เอง ทำไมเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ทำไมไม่มีคนสอน แล้วในเมื่อมันได้ผลขนาดนี้ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่รู้ไม่ทำกัน
เขาจึงเอาตรงจุดนี้มาผันตัวเองเป็นคนสอนคนทั่วไปให้รู้จักวิธีการตั้งเป้าหาย ตั้งแต่นั้นมาเขาเลยจริงจังเรื่องการตั้งเป้าหมาย และหันมาศึกษษเรื่องวิธีการประสบกความสำเร็จ อ่านหนังสือเป็นพันๆเล่ม เข้าสัมนา พัฒนาตัวเอง
ในที่สุดก็สามารถสร้างธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาความสำเร็จของบุคคล จนเป็นบริษัทระดับร้อยล้านดอลล์ สอนและอบรมเรื่องความสำเร็จไม่ต่ำว่า 4 ล้านคนทั่วโลกให้คนประสบความสำเร็จจริงๆ มากว่า 35 ประเทศ ทุกวันนี้เขาเป็นประธานบริษัทของตัวเองและเดินทางไปอบรมสอนผู้คนเรื่องการตั้งเป้าหมายทั่วโลก
คำว่าประสบความสำเร็จหมายถึงอะไร
พอพูดถึงคำว่าประสบความสำเร็จหลายๆคนบอกว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่สามารถหาเงินได้เยอะ ซึ่งก็จริงอยู่การสามารถหาเงินในได้เยอะเป็นตัววัดที่ชัดเจนของคนที่ประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามในที่นี้ตามความหมายจริงๆไม่ได้หมายถึงในลักษณะนั้น คนที่มีเงินทองมากมายแต่มีครอบครัวหรือความสัมพันธ์มิตรภาพที่ล้มเหลว ไม่เป็นที่รักของใครไม่สามารถเรียกว่าเป็นบุคคลประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง การมีเงินกับความสำเร็จนั้นมันคนละส่วนกัน
บางคนทำเงินได้ 10 ล้านก็บอกกับตัวเองว่าทำได้แล้ว ทำสำเร็จแล้ว แต่ก็มีบางคนพอได้ 10 ล้านก็บอกตัวเองว่ายังไม่พอนะ ต้องทำให้ได้ 100 ล้าน ดังนั้นความสำเร็จเป็นสภาวะความสมบูรณ์ ความพอใจของตัวบุคคลมากกว่าว่าจุดไหนคือความสำเร็จของตัวเอง
คำว่าความสำเร็จของแต่ละคนมีความหมายต่างกันเพราะความชอบ และสิ่งที่ตัวเองต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ดังนั้นก่อนอื่นต้องระบุความหมายของคำว่าความสำเร็จให้ได้ก่อน ได้มีคนคนหนึ่งให้ความหมายที่ดีที่สุด เขาคืนนี้มีชื่อว่า เอิร์ล ไนติงเกล (Earl Nightingale) เจ้าของบริษัทตัวแทนประกันของอเมริกา ในยุค 50 และเป็นผู้ประพันธ์ The Strangest Secret : ความลับอันแปลกประหลาดที่สุด ที่โด่งดัง หากคุณยังไม่รู้ว่า The Strangest Secret คืออะไร หรืออยากอ่านข้อมูลเพิ่ม สามารถเข้าไปอ่านบทสรุปได้ ที่นี่
เขาได้อธิบายความหมายของความสำเร็จว่า “การได้มีการพัฒนาการ และบรรลุในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างมีคุณค่า”
เช่น หากตั้งเป้าว่าจะเป็นศิลปินและสุดท้ายได้เป็นอย่างที่ตั้งใจนั่นคือความสำเร็จ หรือตั้งใจเปิดร้านขายเล็กๆของในหมู่บ้านแล้วได้เปิดจริงๆ นั่นคือความสำเร็จ หรืออยากจะเป็นพ่อแม่ที่ดีเลี้ยงลูกให้เป็นบุคคลมีคุณภาพในสังคมนั่นถือว่าประสบความสำเร็จของเขา
แต่เราส่วนใหญ่คงไม่ปฏิเสธว่าเป้าหมายหนึ่งคือการมีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายในแบบที่ต้องการไม่เดือดร้อน หากทำได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน เช่น บางคนตั้งเป้ามีธุรกิจร้อยล้านและก็ทำได้จริงๆนั่นก็คือความสำเร็จ
จากการศึกษาของสถาบันการเงินต่างๆมาเป็นเวลาหลายสิบมี พบว่าคนที่สบความสำเร็จที่มีอยู่ในปัจจุบันมีเพียง 5% ของประชากรทั้งหมด ที่เหลืออีก 95% คือคนทั่วไปที่ยังต้องกระเสือกกระสน หาตัวเองไม่เจอ ต้องทำงานในแบบที่ตัวเองไม่ชอบ ครั้นจะหยุดก็หยุดไม่ได้เมื่อไหร่รายได้ก็หยุดลงด้วยเมื่อนั้น ต้องจำใจอยู่ในสภาพที่ตัวเองไม่ต้องการ ไม่มีข้อเลือกอะไรมากนัก จำเป็นต้องทำสิ่งที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบ
จากการศึกษาวิจัยในลักษณะดังกล่าวมาไม่ต่ำว่า 50 ปี พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จร่ำรวย 5% ที่ว่านั้นมีอะไรเหมือนกันอย่างหนึ่งคือทุกคนมีเป้าหมาย และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นที่โด่งดังที่สุดคือการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียเมื่อทศวรรษที่ 60 ได้จัดบันทึกสัมภาษณ์นักศึกษาจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนั้นมี 5% ที่บอกเป้าหมายของตัวเองได้ชัดเจน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เขียนลงไปเป็นอักษร อีกประมาณ 20% บอกเป้าหมายตัวเองได้แต่คลุมเครือไม่ชัดเจน ส่วนนักศึกษาที่เหลือไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
หลังจากนั้น 20 ปีก็ได้มีการติดตามผล พบว่า 5% ของนักศึกษาดังกล่าวได้กลายเป็นผู้บริหาร เจ้าของกิจการ หรือเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ที่ดี ส่วน 20% ที่มีความเป็นอยู่ปานกลางแต่ยังคงทำงานอยู่ ส่
วนที่เหลือนอกจากนั้นกลายเป็นคนที่ต้องเพิ่งสวัสดิการของรัฐไปวันๆ ผลการวิจัยครั้งนั้นได้กลายมาเป็นหัวข้อการศึกษาถึงผลของการตั้งเป้าหมายในแนวทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง
ความลับของผู้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่สุด 500 คน
ราวๆต้นศตวรรษที่ 19 ประมาณ 90 ปีที่แล้ว เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกขณะนั้นคือ แอนดรู คาร์เนกี้ (Andrew Carnegie) ซึ่งก่อนหน้านั้นเขามีพื้นฐานมาจากครอบครัวยากจนที่อพยบมาจากประเทศสกอตแลนด์ตั้งแต่เขายังเล็กๆ
เขาเริ่มต้นจากการ เป็นกรรมกรโรงงานในโรงงานหลอดด้าย หลังจากนั้นเป็นเสมียนในโรงงานถลุงเหล็ก ไต่เต้าพัฒนาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น จนออกมาทำธุรกิจของตัวเอง มาเป็นเจ้าของและคุมอุตสาหกรรมเหล็กกล้า 90% ของอเมริกาขณะนั้น เขาได้รับการจารึกชื่อว่าเป็น “กัปตันแห่งอุตสาหกรรม” จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1890 บริษัทของเขาเป็นวิสาหกิจอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดและทำรายได้มากที่สุดในโลก
เขาเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในขณะนั้น หลังจากประสบความสำเร็จอย่างที่สุดแล้ว ก็มีจุดหนึ่งเขาได้นั่งคิดว่าอะไรกันแน่ทำให้คนประสบความสำเร็จ หากรู้ความลับก็จะได้ถ่ายทอดให้คนทั่วไปได้รับรู้บ้างเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อโลกบ้าง
ช่วงนั้นเป็นช่วงเหตุการณ์ Titanic ล่ม (ราวๆ ปี ค.ศ. 1912) หากใครได้ดู Titanic คงได้เห็นสังคมของคนร่ำรวยสมัยนั้น คือคนรวยคนประสบความสำเร็จจะคบหาแต่คนรวยเท่านั้น กลุ่มคนพวกนี้จะหาโอกาสเจอกันและแลกเปลี่ยนความลับและแนวคิดกันอยู่เสมอ
มันเป็นการยากมากที่คนที่อยู่นอกกลุ่มจะได้รับรู้เรื่องราวว่าพวกเขาพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรกัน เพราะการที่จะเข้าไปพูดคุยไปฟังว่าคนพวกนี้พูดเรื่องอะไรกันก็ต้องเป็นคนร่ำรวยด้วยกันเท่านั้น สมัยนั้นมีการเรียกสังคมแบบนี้ว่า สังคมลับ (Secret Society)
แอนดรู คาร์เนกี้ เองเป็นคนที่ค่อนข้างจะต่อต้านสังคมและความคิดแบบนี้เนื่องจากเขาผ่านและสัมผัสความลำบากมาก่อน เขาอยากจะล้วงเอาความลับนี้ออกมาให้ได้ แต่เขาไม่ชอบการเรียบเรียง การค้นคว้าอะไรที่มันยาวนาน
อาจจะด้วยความบังเอิญ หรือจังหวะของการเวลา หรือขิลิต ที่ความลับของคนรวยจะถูกเปิดเผยต่อชาวโลกต่อคนทั่วไปแบบไม่ต้องกั๊กไว้เป็นความรู้ของคนรวยเท่านั้น วันหนึ่งมีนักเขียนนักจัดรายการวิทยุหนุ่มคนหนึ่ง ที่ชื่อ นโปเลียน ฮิลล์ (Napoleon Hill) ไม่มีใครรู้ว่าเนื้อหาการสัมภาษณ์ในครั้งนั้นคืออะไร
แต่ แอนดรู คาร์เนกี รู้ว่าคนนี้แหละที่เหมาะสมจะมารวบรวมความลับของคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ได้ แอนดรู คาร์เนกี ก็ได้ท้าทาย นโปเลียน ฮิลล์ ให้ออกไปค้นหาสูตรง่ายๆเพื่อความสำเร็จ สิ่งนี้นำไปสู่การสัมภาษณ์ผู้คนจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในยุคของเขา
แอนดรู คาร์เนกี ได้เสนอที่จะส่งเสริม นโปเลียน ฮิลล์เป็นเวลา 20 ปี ให้ไปศึกษาสัมภาษณ์ สัมผัส รู้จัก และติดตาม และใกล้ชิด เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาที่เขารู้จัก โดย แอนดรู คาร์เนกี้จะเป็นผู้แนะนำ นโปเลียน ฮิลล์ ให้รู้จักเศรษฐีดังกล่าวจำนวน 500 คน โดยให้ใช้เส้นสาย สายสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าหาได้เต็มที่
นโปเลียน ฮิลล์ จะต้องไปศึกษาความลับหรือหลักการหรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวของแอนดรู คาร์เนกี้เองด้วย และคนแรกที่เขาแนะนำให้นโปเลียน ฮิลล์ รู้จักคือแฮนรี่ ฟอร์ดผู้ก่อตั้งรถยนต์ฟอร์ดนั่นเอง
ราวๆทศวรรษที่ 20 หลังจากใช้เวลาไป 20 ปี หลังจากที่เขาพบ แอนดรู คาร์เนกี ครั้งแรก นโปเลียน ฮิลล์ ก็ได้พบ พูดคุย สัมภาษณ์บรรดาคนที่ร่ำรวยดังกล่าว ในที่สุดิ นโปเลียน ฮิลล์ ก็ได้รวบรวมบทวิจัยของเขาออกมาสำเร็จ และได้รวบรวมเนื้อหาที่สรุปรวบยอดออกมาทั้งหมด เพื่อนำไปร่างเป็นหนังสือ
เป็นที่แปลกใจต่อตัวเขาหรือคนที่ได้อ่านเนื้อหานี้เป็นอย่างมาก คือสิ่งที่เขาค้นพบจาก 500 คนนั้น กลับไม่พบคำว่าการศึกษา ความฉลาด ความขยัน การทำงานหนัก อยู่ในเนื้อหาดังกล่าว ซึ่งขัดแย้งกับชุดความรู้ความคิดเราได้ถูกสั่งสอนมาตลอด
สิ่งที่ปรากฏอยู่ที่เขาพบคือ ปราถนาอันแรงกล้า สิ่งที่อยู่ในใจ สิ่งที่เราคิด มันคือกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ เขาพบว่า ทุกคนที่ประสบความสำเร็จที่เขาได้สัมภาษณ์มามีสิ่งนี้ที่เหมือนกัน
หลังจากนั้น นโปเลียน ฮิลล์ ได้เขียนเป็นหนังสือ 1 ชุด ออกมาชื่อ “กฏแห่งความสำเร็จ 16 บทเรียน” จำนวน 1,100 หน้า เนื้อหาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้ในการปฏิบิติงาน ทำงานหนัก ความตั้งใจทำงาน หรือความรู้เรื่องวิชาการ
แต่เป็นหลักการความคิดที่สุดโต่งแบบสุดๆในยุคนั้น คือความเชื่อที่เกิดภายในใจ และการสื่อสารระหว่างจิตใจ จิตใต้สำนึก และมีการอธิบายถึงพลังงานลึกลับของจักรวาลที่เราสื่อได้จากจินตนาการ การจะบรรลความสามารถนั้นได้คือ การมีเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นเอง
หลังจากวางแผงได้ไม่นานเป็นที่รู้จักของนักอ่านผู้ต้องการศึกษาทั่วไป ได้สร้างความตะลึงให้กับคนทั่วไป วางแผงได้ไม่นานก็ถูกเก็บออกจากแผง ว่ากันว่าบรรดาผู้ประสบความสำเร็จเศรษฐีผู้กุมอำนาจทางธุรกิจสมัยนั้น รู้สึกตระหนกและไม่พอใจเป็นอย่างมา พวกเขาไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ความลับจึงพากันทำทุกวิถีทางเอาหนังสือบทเรียนนี้ออกจากแผงให้ได้ และก็ทำสำเร็จภายในเวลาอันสั้น ตรงนี้เป็นเพียงแค่ข้อสัณนิษฐานซึ่งยังไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ
หนังสือชุดนี้ถูกดึงออกจากแผงโดยทันทีและไม่มีการพิมพ์เพิ่ม และหายไปจากตลาดกว่า 10 ปี หลังจากนั้นเขาได้กลั่นกรองเนื้อหา ความคำ สกัดเอามาเฉพาะหัวใจสำคัญของหนังสือเล่าก่อนหน้า แล้วนำมาตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ที่จัดได้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเขา
หนังสือนี้มีชื่อว่า Think and Grow Rich (คิดแล้วรวย) ที่โด่งดังนั่นเอง โดยนำเอาสาระสำคัญของ กฏแห่งความสำเร็จ 16 บทเรียน มารวบรวม ซึ่งสรุปได้ว่า หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือ การมีแรงปราถนาแรงกล้าที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญ
หากกลับไปดูความหมายของคำว่า “ความสำเร็จ” พบว่าความสำเร็จอยู่คู่กับเป้าหมาย หากไม่มีเป้าหมายก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุว่าความสำเร็จของตัวเองคืออะไร การตั้งเป้าหมายบอกให้เรารู้ว่าเราต้องการอะไรและต้องการแบบจริงๆ ไม่เลื่อนลอย หรือฝันกลางวัน
พอรู้ว่าต้องการอะไรก็จะทำอะไรซักอย่างหรือหลายๆอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ โอกาสที่จะไปทำอะไรไร้สาระหรือเสียเวลาจึงมีน้อยลง พอแรงจะหมดๆมองดูไปที่จุดหมายทำให้เรามีกำลังฮืดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
ในขณะที่คนที่ไม่มีเป้าหมายก็จะใช้ชีวิตไปแบบไม่มีทิศทางที่จัดเจน คืออาจจะทำงานไปแต่ละวันแต่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน จึงไม่มุ่งหน้าไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและโอกาสที่จะใช้เวลาไปในทางอื่นจึงมีมากกว่า
บางคนอาจจะมีจุดหมายจริงแต่เป็นจุดหมายอยู่ในใจแบบล่องลอย ไม่ชัดเจน เช่นบอกว่าต้องการเปิดร้านกาแฟ แต่ก็ไม่ได้วางแผนหรือบันทึกลงไปให้ตัวเองรู้ว่านี่ความต้องการจริงๆของตัวเอง ผ่านไปสามสี่เดือนก็ลืม ความจดจ่อเรื่องนั้นๆก็เริ่มลดลง
พอมีคนถามก็ตอบได้ว่า “ฉันต้องการเปิดร้านกาแฟ” แต่ก็ไม่ได้วางแผนหรือทำอะไรเกี่ยวกับเป้าหมายนั้นซักที ไม่คิดว่าจะเริ่มวันไหน และจะทำให้สำเร็จวันไหน แบบนี้เขาเรียกว่าเป้าหมายเลื่อนลอย หรือเรียกว่าฝันกลางวัน เป้าหมายที่แท้จริงจะต้อง ชัดเจน เขียนบันทึกไว้ สามารถวัดได้ มีระยะเวลากำหนด และเชื่อว่าจะได้ตามนั้นจริงๆ
คนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและตั้งเป้าหมายของตัวเองจริงๆจังๆนั้นมีน้อยมาก
การตั้งเป้าหมายนั้นมีความสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราได้สิ่งที่เราต้องการ การตั้งเป้าหมายถือว่าเป็นหลักการง่ายๆที่ใครๆก็สามารถทำได้ ก็ต้องว่าจะทำอะไรซักอย่างต้องมีเป้าหมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนเราประมาณกว่า 90% ไม่เคยตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเลย
เราใช้ชีวิตแต่ละวันไปเรื่อยๆโดยหวังว่าจะสามารถมีโน่นมีนี่ สร้างนั้นสร้างนี้ได้ ได้แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เคยนั่งลงเลยจดบันทึกว่าสิ่งที่เราต้องการจริงๆคืออะไร ทดสอบง่ายๆ สมมุติให้เหตุการณ์เสมือนกับว่ามีคนถามว่าต้องการอะไรในชีวิตให้อธิบายออกมาให้เป็นข้อๆ มีรายละเอียดชัดเจน ว่าต้องการอะไรแบบไหน จะพบว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆที่จะบอกออกมาอย่างละเอียดในครั้งแรก
ว่ากันว่ามีเพียง 5% เท่านั้นที่ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองในชีวิต จะเห็นได้ว่าดังนั้นจึงมีเพียง 5% ของประชากรโลกที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง หัวใจของความสำเร็จคือเขาตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าต้องการอะไร การตั้งเป้าหมายที่ว่านี้คือการตั้งเป้าหมายที่สามารถแบบเขียนลงในกระดาษได้ และนำมาทบทวนทุกวัน
ทำไม่คนส่วนใหญาถึงไม่ตั้งเป้าหมาย
เมื่อการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตทำไมคนส่วนมากจึงไม่ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง เป็นอะไรที่ค่อนข้างเป็นเรื่องพิศวงของชีวิต นี่เป็นเหตุผลที่ได้มีการวิจัยกันหลายๆปีที่ผ่านมาโดยสถาบันพัฒนาส่วนบุคคลที่ดังๆของโลกได้ศึกษาไว้
- ไม่เคยได้รับรู้หรือรู้จักมาก่อนว่าการตั้งเป้าหมายคืออะไร
คนที่ไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร คือคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการพูดถึง หรือให้ความสำคัญกับเป้าหมาย จริงๆเหมือนที่เราเคยใช้ชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กๆ เราไม่เคยได้ยินหรือรู้จักการตั้งเป้าหมายมาก่อน ไม่มีการสอนในโรงเรียน ไม่มีผู้ใหญ่สอนหรือแนะนำมาก่อน อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแต่คิดว่ามันก็แค่คำพูดปลุกใจหรือพูดแล้วดูโก้เก๋ทันสมัย พอได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็อาจจะมีโอกาสเข้ามาสำรวจความหมายกันแบบจริงๆจังๆได้ - ไม่รู้ว่าการตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญและช่วยได้จริงๆ
อย่างที่เราเคยครู้สึกครั้งแรกรู้เรื่องเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมาย ก็บอกว่าฉันรู้แล้วว่าต้องการนั้นต้องการอยู่แล้ว จะเขียนเป้าไปทำไม รู้อยู่ในใจแล้วจะทำให้มันเป็นเรื่องมากทำไม หลังจากนั้นผ่านไปก็ลืมและใช้ชีวิตประจำต่อไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่คิดว่าการตั้งหมายนั้นช่วยได้จริงๆ - ไม่รู้วิธีการตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง
บางคนอาจจะบอกว่ารู้แล้วต้องเป้าหมาย ฉันก็ต้องเป้าไว้แล้วว่าอยากมีนู้นมีนี่ อยากเป็นแบบโน้นแบบนี้ แต่ได้แต่คิดไปแบบไม่มีหลักการ ไม่ได้มีการบันทึกออกมาลายลักอักษร หรือกำหนดเส้นตาย อันนี้ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายแต่แบบนี้เขาเรียกว่าฝันกลางวัน คือบอกตัวเองว่าต้องการอะไรแต่ไม่ได้เริ่มต้นทำอะไรกับมันเลย หรือแม้แต่บางครั้งปากอาจจะพูดว่าต้องการอะไรแต่ในใจลึกๆไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ - กลัวการล้มเหลว
บางคนไม่กล้าตั้งเป้าหมายเพราะกลัวว่าตั้งไปแล้วทำไม่ได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้จะรู้สึกเผชิญหน้ากับความล้มเหลว รู้สึกละอายตัวเองว่าทำไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่เลี่ยงความล้มเหลวนี้คือไม่ต้องตั้งเป้าอะไรทั้งนั้น แต่ก็อย่างลืมว่าถ้าคุณไม่ตั้งเป้าหมายคุณก็จะไม่สำเร็จเช่นกัน - กลัวการถูกวิพากวิจารณ์
บางคนกลัวว่ามีคนรู้แล้วว่าเราตั้งเป้าหมายแล้วคนอื่นรู้แล้วพอถึงเวลาแล้วทำไม่ได้แล้วจะโดนถูกวิจารย์ อับอายขายหน้า วิธีที่ดีที่สุดคือเป้าหมายต้องเป็นความลับของเราเอง อย่าไปบอกใครพอสำเร็จแล้วเขาจะรู้เอง ถ้าจะบอกให้บอกคนที่เรารู้แล้วว่าบอกแล้วเขาจะไม่วิจารณ์ ไม่ดูถูก ไม่ว่าเราไร้สาระ ไม่ทำให้รู้สึกอาย แต่กลับจะให้กำลังใจให้เราไปถึงเป้าหมาย
การตั้งเป้าหมายนั้นช่วยให้เราบรรลุความสำเร็จได้แค่ไหน
หากเป็นการการตั้งเป้าหมายอย่างแท้จริง เราจะต้องรู้ความต้องการของตัวเองอย่างละเอียด การที่ตัวเรารู้ความต้องการจริงๆของตัวเอง เราต้องสามารถรถระบุได้ว่าเมื่อได้ตามเป้าหมายนั้นแล้ว ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปอย่างไร เป้าหมายที่แท้จริงเราจะสนใจเราจะจดจ่ออยู่กับมัน ทำอะไรกับเป้าหมายนั้นทุกๆวันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ และที่สำคัญสามารถเขียนออกมาเป็นตัวอักษร หรือพิมพ์ลงในคอมพ์ หรือแลปท๊อป หรือในแอปมือถือได้
มีคนถามว่าเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนมีเปอร์เซนต์ของความสำเร็จเท่าไหร่ ผู้รู้และผู้ทำสำเร็จมาแล้ว เช่นเอิร์ล ไนติงเกล, นโปเลีย ฮิลล์, แฮนรี่ ฟอร์ด ฯลฯ บอกว่า 99.99%
ที่เหลือ 0.01% คือเหตุสุดวิสัยที่มันเกิดขึ้นแล้วมันทำให้เป้าหมายเราไม่สำเร็จแม้จะทำตามสิ่งที่ควรทำแล้วทุกอย่าง เช่นสงคราม แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งยากมากๆที่จะเกิดและจะบังเอิญมากระทบเป้าหมายของเราทำให้เราตายไปเสียก่อนที่เป้าหมายเราจำสำเร็จ ในสถานการณ์ปัจจุบันเป้าหมายที่เป็นไปได้ที่ตั้งไว้และปฏิบัติอย่างถูกต้องจะต้องบรรลุอย่างแน่นอน
แล้วเป้าหมายที่เป็นไปได้ คือเป้าหมายลักษณะแบบไหน? เป้าหมายที่เป็นไปได้คือเป้าหมายที่มนุษย์คนหนึ่งมีความสามารถทำได้ หากตั้งเป้าว่าจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่กอบกู้โลกแบบนี้ต้องทำใจไว้เลยว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเพราะเราไม่มีพลังพิเศษเหมือนในหนัง แต่ถ้าเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง XXXXXX หรือ YYYYYYY โดยที่ XXXXXX หรือ YYYYYYYY คือสิ่งที่มนุษย์สามัญชนสามารถทำได้ แบบนี้จะเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้
หรืออีกตัวอย่างตั้งเป้าว่าต้องการเป็นเศรษฐีรวยหมื่นล้าน แบบนี้จะเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ไหม เพราะบอกว่าเป็นอะไรที่มนุษย์สามัญชนสามารถเป็นได้ทำได้? คำตอบก็คือ ต้องกลับมาดูที่ปัจจัยประกอบ คือคุณสมบัติของคนที่เราต้องการจะเป็น และคุณสมบัติที่เรามีตอนนี้
ในส่วนของคุณสมบัติคนที่เป็นเศรษฐีหมื่นล้านเขามีอะไรบ้าง ก็จะมี ความอดทน ความขยันขันแข็ง ความตั้งใจแน่วแน่ มีความสามารถในการแก้ปัญหา มีไอเดียล้ำ มีความรู้ทางธุรกิจระดับสูง มีความสามารถในการโน้มน้าวชักคน ความมองเห็นโอกาสในสถานการณ์ต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือมีจิตที่เข้มแข็งในเรื่องการเผชิญปัญหา การตัดสินใจ การรับมือปัญหาต่างๆ ฯลฯ
หลังจากนั้นก็กลับหันมาดูตัวตนของเรา ณ ตอนนี้ ว่าเราอยู่ตรงจุดใหน ระยะทางที่จะไปหมื่นล้านจากจุดนี้มันดูแล้วไกลขนาดไหน เช่นมีเงินทุนอยู่แล้ว 1,000 ล้านก็เป็นไปได้ไม่ยากทที่จะไปให้ถึงหมื่นล้าน ถ้ามีทุนหรือธุรกิจ 500 ล้านมันก็เป็นไปได้แต่ยากหน่อยเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าหากหันมาดูตัวเองแล้ว
สรุปคือ เป้าหมายที่เป็นไปได้ หากตัวเรามีคุณสมบัติพร้อมเหมือนเศรษฐีหมื่นล้านที่ต้องการจะเป็น มันก็เป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ แต่ถ้าไม่มีคุณสมบัติที่ว่ามานี้เลย ต้องใช้เวลากี่ปี? ใช้ความพยายามขนาดไป? แล้วตัวเราเองสามารถฟันฝ่าไปถึงขนาดนั้นได้ไหม? เวลาที่เหลือในชีวิตมันเพียงพอใหม่?
ขอให้ระลึกเสมอว่า คนที่เป็นเศรษฐีหมื่นล้านเพราะเขาแก้ปัญหาหมื่นล้านได้ ถ้าหากเรายังไม่สามารถแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆในสำนักงานที่เราทำงานอยู่ เป้าหมายที่ว่ามันก็เป็นเรื่องยาก
อย่างไรก็ตามในโลกของการทำเป้าหมายให้เป็นจริงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถ้าอยู่ภายในความสามารถของมนุษย์
ขอยกตัวอย่างของ Brian Chesky และ Joe Gebbia สองรูมเมทที่กำลังประสบปัญหาการขาดเงินจ่ายค่าเช่าห้องพักในซานฟรานซิสโก คือไม่มีเงินแม้แต่จ่ายค่าเช่านั่นเอง พวกเขาได้มีความคิดที่จะนำเตียงนอนพับเก็บได้มาวางในห้องนั่งเล่น และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาพักแรมแบบรายวัน พร้อมบริการอาหารเช้า ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าโรงแรม
ความคิดริเริ่มดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อผู้เข้าพักจากงานประชุมทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ได้มาพักในบ้านของพวกเขาจำนวนมาก สร้างรายได้มหาศาลถึง 30,000 ดอลลาร์จากการให้บริการเพียงไม่กี่วัน จากจุดเริ่มต้นอันตื่นตาตื่นใจนี้ ทั้งคู่จึงได้พัฒนาแนวคิดขึ้นเป็นธุรกิจ Airbnb เว็บไซต์ที่ช่วยเชื่อมโยงผู้ให้บริการที่พักแบบแนวใหม่กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างเป็นระบบ และทำทั้งสองคนรวยหลายหมื่นล้านบาทภายในเวลาสิบกว่าปี แต่ตัวอย่างนี้เป็น case ที่เป็นไปได้แต่ค่อนข้างหากยาก
เอางี้ดีกว่าไหม แทนที่จะตั้งเป้าเป็นเศรษฐีหมื่นล้านในครั้งแรก ทำไมไม่ตั้งเป้าให้มีเงินเก็บ 1 แสนก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่อ่านออกเขียนได้ คิดได้ ลงมือทำงานได้ สามารถบรรลุได้ บางคนสามารถบรรลุได้ภายใน 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี หรือแม้แต่ 5 ปี แต่มันเป็นอะไรที่คนเราทำได้ หลังจากนั้นค่อยตั้งเป็นเป้าหมาย 1 ล้านบาท หลังจากนั้นค่อยเพิ่มเป้าหมายเป็น 10 ล้านบาท ในที่สุดแล้วถึงแม้ว่าจะไปไม่ถึงหมื่นล้านเหมือนที่คิดไว้เล่นๆแต่การตั้งเป้าหมายแบบนี้มันก็ผลักตัวเองให้ไปไกลเกินกว่าการที่ไม่มีเป้าหมายอะไรเลยแบบไกลมากๆ
เป้าหมายที่ดีต้องมีหน้าตาเช่นไร
เป้าหมายที่พี่พูดถึงอยู่นี้ เป้าหมายที่จะทำชีวิตเราเปลี่ยนไปจะต้องมีคุณลักษณะ 4 ข้อ ดังนี้
- ต้องเขียนลงในกระดาษ หรือคอมพ์ แลปท๊อป โมบายแอป หรืออะไรก็ได้ที่เราเห็นและอ่านมันได้บ่อยๆ
ที่ต้องเขียนไว้เพราะเป็นการระบุให้ตัวเองเห็นหลักฐานสิ่งที่เราต้องการ หากอยู่ในความคิดอย่างเดียวความชัดเจนจะไม่เท่ากับบันทึกไว้ เมื่อกลับมาดูอีกครั้งข้อความยังชัดเจน แต่หากอยู่ในความคิดเรากลับมาคิดถึงมันอีกครั้งรายละเอียดมันก็จะเปลี่ยนไป ประโยชน์อีกอย่างของการบันทึกเป้าหมายคือทำให้เรามองเห็นและกลับมาคิดถึงมันบ่อยๆ หากไม่มีอะไรบันทึกไว้ เราจะใช้เวลาคิดเรื่องอื่นส่วนใหญ่ นานๆทีจะมีอะไรมาสะกิดให้คิดถึงเป้าหมายครั้งหนึ่ง - ชัดเจน
ต้องมีความชัดเจนว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไรกันแน่ ไม่คลุมเครือเช่นเป้าหมายว่าต้องการมีชีวิตที่มีความสุขเป็นอะไรที่ครอบคุมกว้างเกินไป ต้องระบุให้ชัดเจนว่ามีความสุขอย่างไร เช่นมีเป้าหมายที่เที่ยวเที่ยวที่ไหน ลดน้ำหนักลดกี่กิโลกรัม เป้าหมายเรื่องงานงานอะไร หากมีเป้าหมายเรื่องเงินก็ต้องชัดเจนว่าต้องเป็นจำนวนเท่าไหร่ ฯลฯ - ต้องสามารถวัดได้
สามารถวัดเป็นหน่วย ปริมาณ ขนาด ตำแหน่ง ทำเล หรืออะไรก็ได้ที่ระบุได้ว่ามันอยู่ที่ไหน อะไร เช่น ต้องการมีรายได้สามารถบอกได้ว่าเท่าไหร่ต่อเดือนหรือต่อปี เช่นมีรายได้ XXXXX บาทต่อเดือน หากเป็นสิ่งของสามารถบอกได้ว่ามันคือะไรลักษณะเช่นไร จำนวนเท่าไหร่ หากเป็นสภาพทางจิตใจสามารถวัดให้เห็นภาพอ้างอิงได้ เช่นมีความสุขไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน ฯลฯ - ต้องมีกำหนดเวลาชัดเจน
หากเป็นเป้าหมายที่ไม่ประบุเวลากำกับไว้ก็จะเป็นเป้าหมายที่เราจะรู้สึกรับผิดชอบกับมันน้อยและทำให้เราผลัดวัดประกัดพรุ่ง การเป็นฝันกลางวันได้ง่ายๆ ดังนั้นลักษณะสำคัญอันสุดท้ายคือต้องตั้งระยะเวลาให้ชัดเจนและเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมไม่บีบตัวเองมากเกินไปและไม่นานเกิน เช่นมีสามารถมี XXXXX ได้ภายในวันที่ X เดือน XXX ปี XXXX จะเป็นอย่างไรหากเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเป้าหมายยังไม่บรรลุ ง่ายมากเราตั้งระยะเวลาใหม่ที่เหมาะสม แล้วพยายามทำเป้าหมายต่อไป
หากจะมองในมุมทางวิชาการหน่อย เราก็จะพูดถึงการตั้งเป้าหมายด้วยคำที่เท่ห์ๆ ที่เรียกว่า SMART ซึ่งเป็นการรวมคำมาจาก (Specific) วัดผลได้ (Measurable) ทำได้จริง (Achievable) เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการ (Relevant) และอยู่ในกรอบเวลาที่เหมาะสม (Time-bound) ซึ่งจริงๆมันก็คือคุณลักษณะ 4 อย่างที่เราได้พูดถึงข้างบนแต่มีมุมมองที่ต่างกันเท่านั้นเอง
การตั้งเป้าหมาย พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังจักรวาล และโชค
นักอภิปรัชญา (Metaphysics) ทั้งทางฝั่งตะวันและตะวันออกได้พยายามอธิบายการทำงานของจิตและวัตถุมานับพันปีว่ามีมีความสัมพันธ์กันเช่นไร นับตั้งแต่พลาโต, เดคาร์ส (René Descartes), ขงจื้อ, ฯลฯ จนมาถึงในยุคปัจจุบันมากมาย
สิ่งที่ทุกคนกล่าวสรุปไปในทางเดียวกันคือสิ่งที่เราเป็นถูกสร้างมาจากจิตใจสิ่งที่เราคิด แม้แต่พระเยซูและพระพุทธเจ้า ก็พูดในสิ่งเดียวกันคือหากเราคิดสิ่งใดเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เราจะเป็นอย่างที่เราคิดเสมอ หากเรามีเป้าหมายและรู้ว่าเราต้องการอะไร ทำไมเราจึงมักได้ตามนั้น ได้มีการแบ่งเหตุผลของมันออกเป็น 3 ระดับ
ระดับแรกคือระดับกายภาพจิตใจการรับรู้ของเราเอง
มันก็คือ หากเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราเห็นภาพวามสำเร็จแล้วเรารู้สึกดีมีและมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างไร ความเป็นจริงอย่างหนึ่งคือเมื่อเราอยากได้อะไรและเราเห็นภาพมันชัดเจนอยู่เบื้องหน้า มนุษย์ทุกเราทุกคนจะมีแรงทางกายภาพอย่างแปลกประหลาด ทำให้เรามีกำลังใจทำอะไรหลายๆได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
จากที่เจ็บป่วยก็หายหรืออาการดีขึ้นชั่วข้ามคืน มีกำลังใจดี มีพลังเยอะขึ้น ฮึดมากกว่าเดิม ไม่ท้อง่ายๆ หรือที่เราเรียกง่ายๆว่ากำลังใจ หากตื่นเช้ามาก็อยากต่อสู้อยากทำอะไรหลายๆอย่างในวันใหม่นั่น
ภาพของเป้าหมายทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น เห็นอะไรที่เป็นโอกาสได้ง่ายขึ้น อะไรที่ไม่ไม่ได้ช่วยให้เราไปถึงจุดหมายเราจะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทำ ทำให้เวลาที่สูญเปล่าไปกับเรื่องอื่นๆลดลง สรุปโดยรวมคือการเว่าเราต้องการอะไรการมีเป้าหมายมันทำให้เราขยันขึ้น มีกำลังใจ มุ่งมั่น และไม่ท้อถอย
ระดับที่สองคือระดับจิตใจนอกเหนือการรับรู้ หรือเรียกว่าระดับจิตใต้สำนึก
จิตใต้สำนึกก็คือจิตระดับหนึ่งที่ลึกไปกว่าจิตสำนึกที่เรารู้ตัวนะขณะนี้ ที่ทำงานให้เราโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา มันคุมการดำเนินชีวิตของเราอยู่ตลอด จิตใต้สำนึกของเราควบคุมการทำงานของสมอง การดำเนินชีวิต การเอาตัวรอด และการแก้ปัญหาในแบบที่เราไม่ทันได้รับรู้ จิตใต้สำนึกทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี จิตใต้สำนึกไม่เคยหยุดพัก
จุดประสงค์สูงสุดของการจิตใต้สำนึกคือหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้เรามีชีวิตรอด ดังนั้นมันจะทำทุกอย่างให้เรามีชีวิตรอดจากภัยอันตราย ปัญหา หรือเหตุการณ์ขับขันต่างๆ เมื่อใดก็ตามมีเหตุการณ์ขับขันจิตใต้สำนึกจะเข้าควบควมทันที
ในบางครั้งเราจะพบว่าในสถานการณ์คอขาดบาดตายเราสามารถแก้ปัญหาและรับมือมันได้ดีและเฉลียวฉลาดมากกว่าที่เราคิด หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตปัจจุบันของเราจิตใต้สำนึกก็จะทำงานยู่อย่างเงียบๆ เราไม่รู้ว่ามันทำงานยังไงแต่ผลการศึกษาพบว่าเรา ใช้สมองคิดนั่นนี่ ทำงานและแก้ปัญหาในแต่ละวัน เราพลังไม่ถึง 10% ของพลังที่มี และเชื่อว่าที่เหลือไม่ได้ใช้นั้นคือพลังของจิตใต้สำนึก
แล้วเป้าหมายไปมีผลอะไรกับจิตใต้สำนึกอย่างไร การตั้งเป้าหมายเป็นการบอกให้ตัวเรารู้ว่าว่าเราต้องการอะไร เป้าหมายและความต้องการนั้นก็จะเริ่มบันทึกลงในจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกแยะแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นจริงอะไรเป็นเท็จ
ในโลกของจิตใต้สำนึกภาพที่จิตใจเห็นผ่านจินตนาการและภาพของโลกเป็นจริงที่มองผ่านทางสายตา เมื่อส่งไปยังจิตใต้สำนึกแล้วมันจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ยิ่งจิตสำนึกได้รับข้อมูลเดิมๆซ้ำๆอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งจะยิ่งเชื่อว่าเป็นความจริง
เมื่อจิตใต้สำนึกเห็นว่าเป็นจริงตามนั้นก็เชื่อว่าสิ่งนั้นและจะพยายามทุกวิธีทางที่จะทำให้มันเป็นจริงให้ได้ เช่นการคิดว่าตัวเองเจ็บป่วยๆอยู่บ่อยๆในที่สุดเราก็จะป่วยอย่างที่เราคิด ตรงกันข้ามคนที่เชื่อว่าร่างกายแข็งแรงมักจะไม่ค่อยป่วย
หรือตัวอย่างเราไม่ต้องการเจอะเจอสถานการณ์บางอย่างในที่สุดเราจะพบว่าเรามักจะไปพบสถานการณ์ในลักษณะนั้นอยู่บ่อยๆ มีคำพูดคำหนึ่งคือเกลียดสิ่งไหนเราก็จะได้เจอสิ่งนั้น นั้นเป็นเพราะเราใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่เราเกลียด สิ่งที่เราไม่ต้องการมากกว่าสิ่งที่เราต้องการ เราจึงมักจะได้พบกับสิ่งที่เราไม่ต้องการอยู่เสมอๆ
ว่ากันว่าหากทำในแบบเดียวกันนี้ คือคิดถึงและทบทวนเป้าหมายของตัวเองบ่อยๆ จนในที่สุดจิตใต้สำนึกเชื่อตามนั้นว่ามันจะเป็นจริง และจิตใตสำนึกจะทำทุกอย่างให้มันเป็นจริง จิตใต้สำนึกไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้ด้วยตัวของมันเอง แต่มันจะส่งสัญญาณหรือ เราได้อย่างที่เราตั้งเป้าหมายไว้ เช่นการปิ้งไอเดีย สังหรณ์แห่งใจ แรงบันดาลใจ และความสามารถในการสังเกตุโอกาสต่างๆ เป็นต้น
ระดับที่สามคือระดับสื่อสารต่อพลังแห่งจักรวาล
มีความเชื่อทั้งด้านศาสนาและวิทยาศาตร์ที่มีแนวโน้มเห็นพ้องต้องกันคือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้มาจากแหล่งเดียวกัน แหล่งที่ว่าคือพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด บางความเชื่ออาจเรียกว่าพระเจ้า บ้างเรียกว่าพลังงานแหล่งกำเนิด บ้างเรียกว่าอัจริยะแห่งจักรวาล หรือพลังอันชาญฉลาดไร้ที่สิ้นสุด พลังที่ว่าคือแหล่งรวบความรู้ ปัญญา และพลังของจักรวาลทั้งปวง ปาฏิหารย์ต่างๆ ที่เราเข้าว่ามันเกิดขึ้นอาจจะมาจากพลังที่ว่านี้
หากมองในแน่ศาสนาหลายคนอาจจะบอกว่านี่คือพระเจ้า บ้างบอกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยาดาฟ้าดิน ฯลฯ แต่โดยรวมๆน่าจะหมายถึงมาจากแหล่งเดียวกัน สิ่งที่จะสื่อถึงพลังนี้ได้คือจิตใจ จิตสำนึกอย่างเดียวจะไม่สามารถสื่อสารกับพลังที่ว่านี้ได้โดยตรงเนื่องจากจิตสำนึกเป็นจิตที่ประมวลด้วยหลักเหตุและผล
หากอะไรที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลจิตสำนึกเราจะไม่ยอมเชื่อและหาข้อขัดแย้ง แต่จิตใต้สำนึกจะไม่มีเหตุผลใดที่จะแย้ง อะไรก็ตามที่จิตสำนึงส่งให้จิตใต้สำนึกจะรับไว้เป็นความจรงิ จิตสำนึกจะรับและบันทึกลงไปเป็นความจริงก็ต่อเมื่อการส่งข้อมูลซ้ำๆ ย้ำๆ เป็นระยะเวลาหนึ่งจากจิตสำนึกแบบซ้ำๆ
เท่าที่มนุษย์พอเข้าใจคือจิตใต้สำนึกคือข้อมูลที่ใต้จิตสำนึกรับได้นั้นไม่ใช่ตัวหนังสือ จิตใต้สำนึกไม่รู้จักตัวหนังสือ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จิตใต้สำนึกรับได้คือแบบจำลองของภาพและเสียง ข้อมูลจะถูกส่งจากจิตสำนึกไปยังจิตใต้สำนึกในรูปแบบของภาพที่เกิดขึ้นในใจ หรือที่เราเรียกว่า “จินตนาการ” จินตนการเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะสื่อสาร
จินตนาการ อารมณ์ บวกกับการทำซ้ำๆ เช่นการบอกกับตัวเองเป็นประจำ การรับฟังสิ่งเดิมๆเป็นประจำ จะส่งข้อมูลไปให้พลังงานของจักรวาลได้เป็นง่ายกว่า จะพบว่าคนที่สวดมนต์ไหว้พระบ่อยๆ หรือคนที่อธิฐานต่อพระเจ้าอยู่เสมอ คนที่ทำสมาธิทำจิตใจให้ผ่องใส คนที่มีความเชื่อความศัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งสูง คนที่เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อและทำ ดูเหมือนว่ามักจะมีสิ่งคอยช่วยเหลือคุ้มครองตลอด มักจะแคล้วคลาดจากภยันอันตราย พบเจอแต่สิ่งดีๆ หรือทำอะไรก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองได้ง่าย
ซึ่งเป็นไปได้ว่าจิตใจของเขาสดใสกว่า สร้างภาพในใจได้ชัดเจนกว่า สามารถสื่อถึงพลังงานดังกล่าวได้ดีกว่า ดังหนังสือเรื่อง The secret ได้อธิบายว่าหากจินตนการสร้างภาพสิ่งที่เราต้องการยิ่งชัดเจนเท่าไหร่มันก็จะดึงดูดสิ่งต่างๆในโลกความเป็นจริงกับเราได้ง่ายเท่านั้น
แหล่งพลังดังกล่าวส่งข้อมูล ความรู้ หรือปัญญาที่เหนือความสามารถของสมองและความคิดของมนุษย์จะคิดและล่วงรู้ได้ มาให้เราผ่านทางจิตใต้สำนึกเช่นกัน ผ่านสื่อที่เรียกว่า “สัมผัสที่ 6” หรือหลายคนเรียกว่าสังหรแห่งใจ หรือส่งที่คอยดลบรรดาลใจให้ตัดสินใจที่ถูกต้อง
ความสามารถในการเลี่ยงความเสียหา ความคิดที่เฉลียวฉลาด จะพบว่าคนที่สื่อถึงพลังงานนี้ได้ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะได้ผลดีไปแทบทุกอย่าง ไม่ว่าการตัดสินใจ จังหวะ หรืออะไรต่างที่ต้องการมันจะดึงดูดเข้ามาในชีวิตอยู่เสมอ ฯลฯ อย่างที่เราเรียกกันคุ้นหูว่าความโชคดี หรือบ้างก็ว่าวาสนา นั่นเอง มาถึงตรงนี้จะพบว่าคำว่าโชคดี หรือวาสนานั้นไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากเป้าหมายที่ชัดเจนมากกว่า
การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเห็นทางที่จะไปตลอดเส้นทาง ขอแค่มีเป้าหมายแล้วออกเดินทีละก้าว
การตั้งเป้าหมายนั้นถ้าเปรียบให้เห็นชัดเจนในชีวิตจริงก็พอที่จะเทียบได้กับการเดินทาง กล่าวคือ ปลายทางคือเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายทำให้เราค้นหาเส้นทางที่จะไป การมีแผนที่ มีเข็มทิศ ซึ่งก็เก็บเหมือนความเชื่อความศรัทธาที่เรามี เราก็จะได้รู้ว่าไปทางไหน หากเชื่อมั่นเราก็จะเดินทางต่อไปทางนั้นนั้นให้ได้
เช่นเราตั้งเป้าไว้แล้วจะไปเชียงรายโดยที่ตัวเราอยู่กรุงเทพฯ เราก็จะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปตามทิศเหนือก่อน ตามป้ายที่ชี้ไปจังหวัดที่อยู่ทางเดียวกับเชียงราย เราไม่เห็นเชียงรายอยู่เบื้องหน้าหรอก แต่เราจะเห็นเส้นทางข้างหน้าไม่เกิน 500-600 เท่านั้นเอง หากไปตามทางเรื่อยๆแล้วเราก็จะไปถึงในที่สุด แต่หากเดินทางแบบไม่มีเป้าหมายเราก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดีก็จะไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าถึงไหนมันควรจะถึงหรือยัง บางครั้งหลง ในที่สุดทำให้เราเดินทางบนเส้นทางโดยไม่รู้เรากำลังจะไปไหนกันแน่
หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักด้านนี้คือ “Oil Barrel Experiment” ที่เป็นการผจญภัยข้ามทะเลทรายในทวีปแอฟริกาของ เบอร์ตรัม โทมัส (Bertram Thomas) นักเดินทางชาวอังกฤษ
ในปี 1930 เบอร์ตรัม ได้เป็นคนแรกที่ข้ามทะเลทรายขนาดใหญ่ของทวีปแอฟริกาจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก การเดินทางนี้มีความยากลำบากมากและได้มีคนพยายามข้ามทะเลทรายนี้กันมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยเป็นผลสำเร็จ สุดท้ายจบลงด้วยการหลงทางบ้าง อดน้ำตายกลางทางบ้าง
เบอร์ตรัม โทมัส มีวิธีการที่แตกต่าง เขาได้ใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดาเพื่อช่วยในการนำทาง คือ การวางถังน้ำมันลงเป็นเครื่องหมายเพื่อช่วยในการนำทาง โดยวางถังน้ำมันตามเส้นทางของเขาเป็นระยะห่างประมาณ 500 เมตร เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่สูญหายในทะเลทรายที่เป็นภัยอันตราย รวมทั้งหมดเป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ หรือ 2,400 กิโลเมตร
ประสบการณ์นี้สอนให้เรารู้ว่า การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีการวางแผนอย่างรอบคอบสามารถช่วยให้เราทะยอยเดินไปในทิศทางที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการข้ามทะเลทรายในทวีปแอฟริกาหรือการตั้งเป้าหมายในชีวิตประจำวัน เราสามารถประสบความสำเร็จได้ แค่เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จที่ต้องการ