15 กฎ แห่งความร่ำรวย

มีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการสร้างความร่ำรวย ทุกคำแนะนำใช้ได้ผลหมดหากนำไปปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง

วันนี้เราจะมาแบ่งปัน 15 กฎแห่งความสำเร็จ ซึ่งเป็นกฎที่ทำให้คน 0.001% ประสบความสำเร็จ กฎเหล่านี้ได้มาจากการรวมข้อมูลของ แดน มาร์เทล (Dan Martell) ที่รวบรวมจากการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ แอนดรู คาร์เนกี, ริชาร์ด แบรนสัน, แอนโทนี ร็อบบิน, มาร์ค คิวแบน, แจ็ค หม่า, เจฟ เบโซส, วอร์เรน บัฟเฟตต์. บิล เกตส์ จนมาถึง อีลอน มัสต์

แดน มาร์เทล เป็นผู้ประกอบการ นักลงทุนแองเจิล ผู้นำทางความคิด และโค้ชที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงในอุตสาหกรรม SaaS หรือซอฟต์แวร์ในรูปแบบบริการ เขาได้ก่อตั้ง ขยาย และออกจากบริษัทเทคโนโลยีสามแห่งได้สำเร็จภายในระยะเวลาสิบปี

ดังนั้นโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมให้เสียเวลา นี่คือ 15 กฎแห่งความสำเร็จ

1. กฎข้อแรกของความสำเร็จ คือ มีเป้าหมาย

นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวถึงเรื่องนี้ในหนังสือ Think and Grow Rich เขาบอกว่าให้มีเป้าหมายหลัก ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณกำลังจะไปไหน ไม่ว่าคุณจะไปทาไหนสุดท้ายถนนทุกสายก็จะพาคุณไปที่นั่นซึ่งก็คือที่ไหนไม่รู้

คุณไม่ได้สร้างความสำเร็จ ทุกคนไม่ได้สร้างความสำเร็จแต่เราดึงดูดความสำเร็จต่างหาก ดังนั้นเราจึงต้องทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ดึงดูดความสำเร็จให้ได้ ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อในการสร้างอนาคตนี้ เพื่อให้มีเป้าหมายในสิ่งที่เราต้องการบรรลุผล จึงมีกรอบง่ายๆ ที่เรียกว่า ความเร็วในการดึงดูด ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วมีสามส่วน

นั่นก็คือ

  1. มีความชัดเจน 100% สำหรับสิ่งที่คุณต้องการสร้างเป็นเป้าหมาย
  2. คุณมีความเชื่อ 100% ในการบรรลุผลลัพธ์นั้น
  3. และคุณเชื่อในทั้งสองอย่างแรก 100% ในทุกๆครั้ง ทุกๆเวลา

ดังนั้นสามสิ่งนี้จะกำหนดว่าคุณจะดึงดูดอนาคตนั้นเข้าสู่ความเป็นจริงในปัจจุบันของคุณได้เร็วแค่ไหน

คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการกำหนดเป้าหมายของตนเอง เพราะถ้าพวกเขาพูดออกมาดังๆ หรือพูดกับตัวเองถึงบางสิ่งที่พวกเขาต้องการบรรลุแล้วทำไม่ได้ พวกเขาจะรู้สึกแย่กับมัน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่พูดอะไรเลย และหวังว่าสักวันหนึ่ง สักทางไดทางหนึ่ง สิ่งนี้จะได้ผล แล้วถ้ามันเกิดขึ้นก็ดีไป ถ้ามันไม่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกแย่

ปัญหาของเรื่องนั้นคือไม่เชื่อ ไม่โฟกัส ไม่มีจุดหมายปลายทาง หมายความว่าคุณจะไปนู้นไปนี่ทำนู้ทำนี่ ซิกแซกไปทางซ้ายไปทางขวาและย้อนกลับไปจนสุดท้ายอาจจะไปถึงที่นั่นได้จริง มันจะใช้เวลา 30 ปีแทนที่จะเป็น 3 ถึง 5 ปี ถ้ามีเป้าหมาย

นั่นคือความสำคัญของการมีเป้าหมายหลัก คือ เชื่อในความสามารถของคุณ ซึ่งนำเราไปสู่กฎข้อที่สอง

2. กฎข้อที่สอง การเชื่อในความสามารถของตนเอง

หากได้อ่านชีวประวัติของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 100 คน ตั้งแต่ เจฟ เบโซส ไปจนถึง อีลอน มัสต์ และทุกคนมีความสามารถนี้ในการยึดมั่นในวิสัยทัศน์ที่บ้าคลั่งจนกว่าจะกลายเป็นจริง

วิธีการคือคุณต้องรู้ว่าคุณจะไปที่ไหน และเชื่อมันด้วยการเข้าไปในที่นั้นและอยู่ในพลังงานนั้น เหมือนตัวคุณเป็นตัวละครในภาพยนตร์ของหนังเรื่องนั้นๆ

ถ้าคุณมีปัญหาในการไปและเห็นภาพมัน ก็ต้องแกล้งทำเป็นว่าคุณกำลังสร้างอนาคตนี้ขึ้นมาในใจของคุณ และเข้าไปในที่แห่งความสำเร็จนั้นหลังจากที่คุณไปถึงแล้ว และทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องจริง หลับตาลง เห็นภาพ มองเห็นภาพว่าคุณทำสำเร็จแล้ว รู้สึกอย่างไร กระบวนการนี้เรียกว่า Visualization

ลองนึกภาพว่าถ้าจู่ๆ คุณตื่นขึ้นมาแล้วดูบัญชีธนาคารของคุณ มีเงิน 50 ล้าน ภาษีก็จ่ายไปแล้ว และคุณไม่เป็นหนี้ใครเลย คุณจะรู้สึกอย่างไร ลองคิดดู ลองมองตัวเองในสถานการณ์นั้น มองดูแอปธนาคารในมือถือว่ามีเงิน 50 ล้านในบัญชีธนาคารของคุณ มองจากมุมต่างๆ

บางครั้งในภาพนั้นคุณก็ไม่จำเป็นที่คนเป็นบุคคลที่หนึ่ง ลองจินตนาการว่ามีกล้องอยู่ในห้องที่เฝ้าดูคุณ ลองนึกภาพว่ามีใครบางคนเปลี่ยนมุม ทันใดนั้น คุณกำลังจะดึงโทรศัพท์ออกอย่างรวดเร็ว คุณจะดึงมันออกช้าๆ ให้ตัวเห็นคุณอยู่ในพื้นที่นั้นจริงๆ เปิดเพลงประกอบ เพลงอะไรจะเล่นเมื่อคุณตรวจสอบบัญชีธนาคารของคุณ รายละเอียดจะเป็นอย่างไร

นึกภาพให้ชัดเจนว่ากำลังดูบัญชีธนาคารของคุณผ่านโทรศัพท์อะไร มันคือระดับความจำเพาะของความเป็นจริงที่คุณต้องมองเห็นเพื่อเข้าสู่พื้นที่พลังงานเพื่อให้คุณสร้างความเชื่อว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริง มันต้องใช้การสร้างภาพจำนวนมาก ความเชื่อมากมาย ต้องหลับตาลงและเห็นตัวเองทำมันให้ได้ และนี่คือวิธีที่เราสร้างและประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งนำเราไปสู่ มีทัศนคติเชิงบวก

3. กฎข้อที่สาม การมีทัศนคติเชิงบวก

เราส่วนใหญ่เก่งในการมองเห็นด้านลบ ถ้าคุณถามใครสักคนว่าพวกเขาต้องการอะไรจากชีวิต พวกเขาจะชอบตอบว่า ‘ฉันไม่สามารถบอกคุณได้จริงๆว่าฉันต้องการอะไร แต่รู้ว่าไม่อยากเป็นคนจน และไม่อยากอ้วน และไม่อยากเหงา และไม่อยากมีความทุกข์

สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราไม่ต้องการทั้งนั้น แต่เราไปโฟกัสมันผิดจุดคือ แทนที่จะรู้ว่าต้องการอะไรกลับเอามันไปพลิกมันกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการแล้วเก็บมาคิดทั้งวันทั้งคือ สิ่งที่คุณต้องทำจริงๆคือทำตรงข้ามคือคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น

เชื่อกันว่าความถี่ของคุณคือสิ่งที่คุณเห็นบ่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเรามองผ่านเลนส์แห่งชีวิตของตัวเองเราเห็นอะไร คุณเห็นโอกาสไหม คุณเห็นความอุดมสมบูรณ์ไหม คุณเห็นความสง่างามไหม คุณเห็นความดี ความเมตตา คุณเห็นอะไรเมื่อคุณผ่านวันของคุณ

หรือคุณเห็นว่าทุกอย่างผิดปกติ คุณเห็นความทุกข์ เห็นความอัตคัดขัดสน เห็นปัญหาและอุปสรรค ขอให้ระลึกเสมอว่าความจริงก็คือโลกคือภาพสะท้อนของตัวคุณ ไม่ใช่ว่าโลกเป็นอย่างไร ความถี่ของคุณคือวิธีที่คุณจะเห็นโลกส่วนที่เหลือบ่อยๆ

ถ้าจะเอาง่ายให้ใช้หลักการ API หรือ Assume Positive Intent คือไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไร ให้ สันนิษฐานว่าคนเรามีเจตนาในทางบวกไว้ก่อน ตัวอย่างเช่น ระหว่างขับรถมีคนมาปาดหน้า ก็ให้คิดว่าเขากำลังรีบเพราะมีคนในรถของพวกเขากำลังมีเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยทางการแพทย์ด่วน

ความจริงก็คือความเชื่อนั้นเป็นจริงพอๆกับความเชื่ออื่น เช่นบางคนอาจจะพูดว่า โอ้ ที่เขาปาดหน้าฉันเพราะมันกวนตีน ทั้งสองอย่างมีความเป็นไปได้เท่าเทียมกัน แต่แตกต่างกันที่อย่างหนึ่งทำให้คุณไม่อารมณ์เสีย ไม่เสียเวลาเครียดกับเหตุการณ์แบบนี้ มันผ่านแล้วผ่านไปเลยคุณจะได้ใช้ชีวิตและอารมณ์ที่สดใสในเรื่องอื่นๆอีกทั้งวัน อีกอย่างหนึ่งสามารถทำให้คุณตกอยู่ในห้วงอารมณ์เชิงลบ เครียด หัวเสีน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของฉันและการโต้ตอบกับทีมของฉัน ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่สี่

4. กฎข้อที่สี่ต้องเป็นคนแปลก

คุณคงกำลังคิดว่า “อะไรนะ? การแปลกยังไงจะช่วยให้ฉันประสบความสำเร็จได้?”

นี่คือความจริง คนรวยก็คือคนแปลก คนแปลกไม่ใช่คนปกติ เพราะถ้าพวกเขาเป็นคนปกติ พวกเขาก็จะเหมือนคนอื่นๆ แต่ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องไม่ปกติ ตัวอย่างเช่น จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ จดบันทึกเงินที่เขาได้และจ่ายทุกเซ็นต์ตั้งแต่เขาอายุไม่ถึง 10 ขวบ เขาเป็นคนแปลกว่าคนอื่นๆเมื่อเทียบกับคนอายุเท่ากัน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มอ่านหนังสือลงทุน และเริ่มลงทุนตั้งแต่ 7 ขวบด้วยการไปยืมเงินมาขายหมากฝรั่ง และลงทุนในหุ้นครั้งแรกตอนอายุ 11 ขวบ ไม่ใช่เพราะเขาเฉลียวฉลาดที่สุด แต่เขาแปลกกว่าคนทั่วไป

ดังนั้นคุณต้องพิเศษกว่าคนอื่น ถ้าคุณทำเหมือนที่คนอื่นทำ คุณก็จะมีเหมือนที่คนอื่นมี และถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าที่คนอื่นก็ต้องไม่ทำเหมือนคนอื่น สิ่งที่ทรงพลังที่สุดที่คุณทำได้คือการเป็นตัวคุณเองในแบบที่จริงใจที่สุด มันคือสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับคนดังระดับท็อป พวกเขาเป็นตัวของตัวเอง 100% และก็แน่นอนการเป็นตัวของตัวเองมันจะแปลกในสายตาคนอื่น

ดังนั้นจงยอมให้ตัวเองเป็นตัวของตัวเอง และยอมให้ผู้อื่นแตกต่าง ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่ห้า

5. กฎข้อที่ห้าต้องมีวินัยในตัวเอง

คนที่ประสบความสำเร็จจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการเป็นคนมีวินัยในตัวเอง ไม่สำคัญว่าคุณจะทำบางสิ่งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วันอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นคุณออกนอกลู่นอกทางเป็นเวลา 3 วัน แบบนี้คคุณจะไม่ก้าวหน้า

คุณต้องปฏิบัติมันอย่างมีวินัยทุกวันแม้ว่าจะไม่มีใครดูก็ตาม ตอนแรกคุณอาจจะมีวินัยจนพาตัวเองประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง และต่อๆไปวินัยของคุณต้องตรงกับความสำเร็จของคุณเมื่อคุณเพิ่มขึ้น หมายความว่าพอคุณเริ่มประสบความสำเร็จคุณต้องมีวินัยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม หากคุณไม่ทำคุณจะระเบิดตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่คุณเห็นคนจำนวนมากร่ำรวยขึ้นมาจริงๆ แล้วก็สูญเสียมันไปทั้งหมด เพราะวินัยของพวกเขา

ความสม่ำเสมอของพวกเขาไม่ตรงกับระดับความมั่งคั่ง แล้วมันก็ระเบิดใส่ตัวเอง เพราะนี่คือสิ่งที่ฉันเชื่อว่า วินัยคือรูปแบบของการรักตัวเองที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณมีได้ แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่อยากทำอะไรเลยในบางวันเพราะมีความวิตกกังวลหลายๆเรื่อง

แต่เชื่อหรือไม่ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าของคุณสามารถแก้ไขได้ทั้งหมดโดยการเป็นเจ้าของสองชั่วโมงแรกของวัน ด้วยการมีวินัย ด้วยการเริ่มทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่ใช้สิ่งที่คุณอยากทำ วินันจะเป็นตัวกำหนดวิธีที่คุณโฟกัส วิธีที่คุณดูแลสิ่งสำคัญ เริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยการสร้างแรงกระตุ้นนั้น มันจะเปลี่ยนชีวิตคุณ ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่หก

6. กฎข้อที่หก คุณมีแค่ชนะ หรือเรียนรู้เท่านั้น ไม่มีคำว่าแพ้

ในชีวิตการต่อสู้ของคุณ สิ่งที่จะเกิดกับตัวคุณ คือ คุณชนะหรือคุณเรียนรู้ เท่านั้น คุณไม่ได้แพ้ยกเว้นว่าคุณยอมแพ้ ขอให้ดูตัวอย่าง Nelson Mandela ที่ใช้เวลา 20 ปีในคุก และเมื่อเขาออกมา เขาก็พูดอย่างโด่งดังว่าเขาไม่เคยแพ้

สิ่งที่เขารับคือ เขาจะชนะหรือเรียนรู้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันไม่มีคำว่าแพ้ ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าไปอยู่ในคุก 20 ปีก็ตามมีบางอย่างให้ได้รับจากประสบการณ์เสมอ ความพ่ายแพ้เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณค่าแต่คุณต้องยอมรับให้ได้ว่าว่าคุณได้เรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้น

เพราะถ้าคุณไม่ยอมรับต่อไปไม่ว่าจะเป็นสถาณการณ์ ผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ จะเข้ามาปรากฏแบบเดิมๆ เพราะคุณไม่ได้เรียนรู้ในครั้งแรกที่คุณประสบกับความพ่ายแพ้หรือความเจ็บปวดนั้น และโลกจะมอบสิ่งเดิมๆสถานการณ์เดิมๆให้คุณ

บางทีคุณอาจเคยเห็นคนที่มีปัญหาความสัมพันธ์ การคบคน เขาเปลี่ยนคนคบเป็นคนใหม่แล้วก็พูดว่า โอ้คนนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แล้วพวกเขาก็ประสบกับสิ่งเดียวกันเป๊ะๆ ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งแรก และพวกเขาก็นำกระบวนการเดียวกันนั้นในการเลือกและการค้นหาและการมีความสัมพันธ์กับคนใหม่ไปเรื่อยๆ

และความท้าทายเดียวกันก็เกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะชนะหรือเรียนรู้ แต่ถ้าคุณล้มเหลวและไม่เรียนรู้ คุณจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่เจ็ด

7. กฎข้อที่เจ็ด ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนไม่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ถูก หรือเขาทำไม่ดี หรือเขาเขาโชคไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาไม่ทำให้สุด เขาไม่มุ่งมั่นเท่าที่ควร เขาทำไปแล้วและหยุดกลางครันเพราะคิดว่ามันไม่สำเร็จแน่ หรือรู้สึกเหนื่อยเกินไป เบื่อเกินไป หรือรู้สึกว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่า

สิ่งที่เศรษฐีแทบทั้งหมดได้เรียนรู้คือ ต้องไม่ลดละ ต้องใช้สมาธิ และสมาธิย่อมาจาก ทำตามเส้นทางเดียวจนกว่าจะสำเร็จ (follow one course until successful) ลงมือทำ เรียนรู้ และมีความยืดหยุ่น

คนส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป คนส่วนใหญ่จะสลับจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่ง คิดว่าสิ่งต่อไปคือสิ่งที่จะได้ผล และพวกเขาไม่รู้ตัวว่าเหตุผลที่สิ่งนี้ไม่ได้ผล เป็นเพราะพวกเขาหยุด แล้วพวกเขาก็ไปเริ่มต้นสิ่งใหม่ จากนั้นพวกเขาก็มาถึงส่วนที่ยาก แล้วพวกเขาก็หยุดและไปเริ่มต้นใหม่ และพวกเขาก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

คุณต้องมีความมุ่งมั่น อย่ากังวลกับการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพียงแค่กังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจในเส้นทางนั้น แล้วทำให้การตัดสินใจนั้นถูกต้อง ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่แปด

8. กฎข้อที่แปด การมีความรับผิดชอบอย่างที่สุด

สิ่งที่จะกำลังนำเสนอต่อไปนี้บางคนอาจจะฟังยากหน่อย ก็คือยิ่งมีความรับผิดชอบ ยิ่งจะเห็นความสำเร็จได้ชัดเจนขึ้น คุณรู้อะไรไหม ตัวคุณลำพังไม่สามารถควบคุมรัฐบาลได้ ไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คนทั้งโลกมีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณ

แต่คุณสามารถควบคุมวิธีที่คุณตอบสนองต่อสิ่งต่างๆรอบตัวคุณได้ ตอนนี้คุณอาจะคิดว่ามันบ้ามากกับความรับผิดชอบ 100% เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นคุณไม่ได้เป็นคนก่อ คุณอาจจะคิดว่าความรับผิดชอบจะฟังดูไร้สาระ

บางคนอาจพูดว่า โอเค คุณกำลังบอกฉันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันฉันต้องรับผิดชอบ ฉันกำลังบอกว่าแค่ยอมรับมัน ถ้าคุณถูกรถชนก็ยอมรับความจริงที่ว่าคุณกำลังเดินอยู่บนทางเท้าตอนที่คุณถูกรถชน มีคนขับรถตัดหน้าคุณ ก็แค่ยอมรับความจริงที่ว่าคุณตัดสินใจที่จะขับรถอยู่ใกล้ๆ กับคนคนนั้น

วันไหนคุณเข้าบาร์และมีเรื่องกับโต๊ะข้างจนเกิดการปะทะชกต่อยกันขึ้น ถึงแม้ว่าคู่กรณีของคุณจะเป็นคนหาเรื่องก่อน คุณก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะตัวคุณนั่นแหละที่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเอง

ถ้าคุณอกหัก ก็แค่ยอมรับความจริงที่ว่าคุณตัดสินใจที่จะคบกับคนคนนั้น คุณไม่สามารถควบคุมคนเหล่านั้นได้ แต่ถ้าคุณสามารถรับผิดชอบต่อวิธีที่คุณตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น

เมื่อคุณแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำ คำพูด และผลลัพธ์ของงาน คุณจะสร้างความไว้วางใจให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกค้า หรือแม้แต่คนในครอบครัว ความไว้วางใจนี้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต

การยอมรับผิดชอบต่อความผิดพลาดและความล้มเหลว ช่วยให้คุณเรียนรู้จากประสบการณ์และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถระบุจุดอ่อน จุดแข็ง และโอกาสในการปรับปรุง ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทั้งในด้านส่วนตัวและอาชีพ

อย่างน้อยการแสดงความรับผิดชอบ 100% ก็ให้สิทธิ์คุณ มันให้พลังแก่คุณ มันไม่ได้ทำให้คุณสูญเสียโอกาสในการควบคุมสถานการณ์นั้น ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่เก้า ซึ่งก็คือ จงรักษาคำพูด

9. กฎข้อที่เก้า จงรักษาคำพูด

สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จร่ำรวย คือการรักษาคำมั่นสัญญา ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเบสิคมากๆ แต่ในโลกแห่งการหาเงินหาทอง มันสำคัญมากอันดับต้นๆ ที่จะทำให้คนอื่นๆเอาเงินมาให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกัยคุณ ซื้อของจากคุณ หรือแนะนำคุณให้รู้จักคนที่จะซื้อของจากคุณ

สิ่งที่บรรดาเศรษฐีได้เรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือ คุณเป็นอย่างไร คุณก็จะดึงดูดคนแบบนั้นเข้ามาในชีวิต ถ้าคุณไม่แน่นอน คุณก็จะดึงดูดคนอื่นๆ ที่ไม่แน่นอนแบบนั้นเข้ามา ถ้าคุณเป็นคนที่รักษาคำพูดคุณก็จะดึงดูดคนแบบเดียวกันเข้ามาเช่นกัน

ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าคุณรู้ว่าคุณทำไม่ได้ ก็ให้ปฏิเสธไปเลย อย่าบอกว่าอาจจะ แค่พูดว่าฉันทำไม่ได้ หรือพูดว่าฉันอยากทำแต่มันคงเป็นไปไม่ได้ จงซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น

เมื่อคุณเป็นคนที่แสดงตัวและทำในสิ่งที่คุณพูดว่าจะทำ คุณก็เริ่มสร้างความมั่นใจในตัวผู้อื่น คุณสร้างความมั่นใจในตัวเอง และผู้คนก็เริ่มไว้ใจคุณ เมื่อคุณเป็นคนที่ให้เกียรติภาษา คำพูดที่คุณใช้ เพราะมันไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณพูดกับคนอื่น แต่มันคือสิ่งที่คุณพูดกับตัวเอง

จงเลือกภาษาและคำพูดที่ใช้อธิบายเรื่องราว สถานการณ์ของคุณอย่างรอบคอบ เพื่อเสริมพลังให้คุณ ไม่ใช่ดึงคุณลง การรักษาคำพูดอย่างเคร่งครัดนั้นไม่ใช่แค่ต่อสาธารณะ แต่มันเป็นเรื่องภายใน นั่นคือวิธีที่เราสร้างความซื่อสัตย์สุจริตกับตัวเอง ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่ 10

10. กฎข้อที่สิบ เพิ่มระดับความสัมพันธ์กับคนที่ควรเพิ่ม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเรามักจะมีคนที่รู้จักคบหากันมานาน หรือเพิ่งเจอ และแต่ละคนก็ต่างกันไป ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบุคคลอื่นก็ถือเป็นเรื่องดีที่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมต้องมี แต่เราไม่สามารถรับใครเข้ามาในชีวิตได้ทุกคน โดยเฉพาะคนที่จะฉุดคุณไม่ให้ไปไหน ด้วยความคิดแง่ลบ คนที่ toxic คนที่หาแต่เรื่องมาให้

ลองคิดดูสิ ถ้าในชีวิตคุณล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่คิดบวก คนที่สนับสนุนความฝันของคุณ คุณก็จะมีชีวิตที่ดี ตรงข้ามถ้าคุณรอบล้อมตัวเองด้วยคนที่คิดลบ คนที่ toxic คนที่คอยนำแต่ปัญหามาให้คุณคุณก็จะไม่ไปไหนไกล

Jay-Z คงไม่ใช่ Jay-Z ถ้าไม่มีโปรดิวเซอร์ที่มีฝีมือของเขา เพราะ Jay-Z เป็นคนคิดบวกที่คัดสรรบทสนทนาของเขาและคนที่เขาอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในแวดวงของเขาอย่างแท้จริง จากนั้นเขาก็มีชีวิตในเชิงบวกและเขาจะดึงดูดผู้มีความสามารถที่น่าทึ่งคนอื่นๆ

มีคนกล่าวว่าคุณคือค่าเฉลี่ยของคนห้าคนที่คุณใช้เวลาร่วมกัน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก จริงคุณคือค่าเฉลี่ยของคนห้าคนที่คุณยอมให้มีอิทธิพลต่อคุณ ลองคิดดูว่าใครที่คุณยอมให้มีอิทธิพลต่อคุณ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโซเชียลมีเดียถึงเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม เพราะคุณสามารถเลือกคนที่คุณยอมให้มีอิทธิพลต่อคุณได้

การตัดคนที่เป็นพิษออกจากชีวิตของคุณ ฉันเรียกสิ่งนี้ว่าการทำ Friend Inventory ฟังดูอาจจะดูเหมือนเป็นคนใจร้ายใจดำ แต่คุณต้องเลือกสิ่งที่ดีต่อชีวิตคุณเพื่อครบอครัวคุณ เพื่ออนาคตของคุณและคนที่คุณรัก คุณต้องเลือกคนที่คิดดีกับคุณเท่านั้น

คุณเพียงแค่ถามตัวเองด้วยคำถามเดียวว่า เมื่อฉันแบ่งปันข่าวดีกับคนๆนั้น พวกเขามีความสุขกับฉันหรือพวกเขาพยายามที่จะทำให้ฉันผิดหวัง

คนเหล่านี้เป็นคนที่ผลักดันให้ฉันใช้ชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่ พวกเขาคาดหวังอะไรจากฉันมากขึ้นจากความห่วงใยและพวกเขาเห็นความประสบความสำเร็จของฉัน หรือคนเหล่านี้เป็นคนที่บ่นเรื่องคนอื่นอยู่เสมอ หรือเป็นห่วงทุกอย่างที่ฉันทำ ซึ่งทำให้ฉันต้องคิดทบทวนการตัดสินใจของฉัน หรือคนเหล่านี้มีคุณค่าต่อชีวิตของคุณ

คุณไม่จำเป็นต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โดยการตัดขาดชีวิตจากเขาไปโดยสิ้นเชิง แค่อย่าไปยุ่งกับพวกเขา อย่าตอบข้อความของพวกเขาอย่างรวดเร็ว อย่าตอบตกลงไปแฮงเอาท์กับเขาบ่อยๆและสร้างพื้นที่ให้คนอื่นที่คิดดีกับคุณเข้ามาในชีวิตของคุณมากกว่า ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่ 11

11. กฎข้อสิบเอ็ด เล่นเกมชีวิตเพื่อชนะเท่านั้น

ข้อนี้ไม่ได้บอกว่าคุณต้องชนะคนอื่นหรือเอาชนะทุกอย่าง แต่หมายถึงคุณต้องเอาชนะอุปสรรคและอะไรต่างๆที่เข้ามาขัดขวางเขามามทดสอบชีวิตคุณ คุณต้องอยู่ในโหมดเล่นเพื่อชนะไม่ใช่เล่นเพื่อไม่ให้แพ้

คนที่เล่นเพื่อชนะจะทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจ เพราะได้เตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่กลัวความล้มเหลว กล้าเผชิญกับสิ่งต่างๆ และมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด

คนที่เล่นเพื่อไม่ให้แพ้มักจะมุ่งเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดมากกว่าที่จะเล่นเพื่อการขยายและการสร้างสรรค์ และเพื่อที่จะเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม คุณจะต้องไม่กลัวความล้มเหลว อยู่ในเกมรุกเสมอ ไม่ใช่เกมรับ ไม่เช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านไปคุณจะอ่อนแอลง

คนเหล่านี้เป็นคนที่อยู่ในโหมดสร้างความมั่งคั่ง พวกเขาปรากฏตัวเพื่อเล่นเพื่อที่จะชนะ พวกเขากำลังพยายามหาว่าโอกาสต่อไปอยู่ที่ไหน ไม่ใช่วิธีปกป้องอาณาจักรที่สร้างมาจนถึงตอนนี้

12. กฏข้อที่สิบสอง แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าคุณต้องการอะไร

ดคนที่ประสบความสำเร็จทำสิ่งง่ายๆ คือพวกเขาขอสิ่งที่พวกเขาต้องการ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่พยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยขอ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ คุณจะไม่ได้เงินมากกว่าที่คุณคิดว่าคุณสมควรได้รับ

การขอไม่ได้หมายถึงการแบมือขอ หรือการอ้อนวอนขอความเห็นใจให้คนอื่นให้อะไร แต่หมายถึงการบอกสิ่งที่คุณต้องการเมื่อถึงเวลาที่ต้องเจรจาหรือทำข้อตกลง โดยที่คุณมั่นใจในตัวคุณอยู่แล้วว่าสามารถให้คุณค่าตอบแทนกับสิ่งที่คุณขอนั้นอย่างคุ้มค่า

หากคุณต้องการขึ้นเงินเดือน คุณต้องขอ หากคุณต้องการเงินจากนักลงทุน คุณต้องขอ หากคุณต้องการสเต็กของคุณแบบ medium rare คุณก็ต้องแบบนั้นไม่อย่างนั้นมันจะออกมาเป็น rare หรือ well-done

คนส่วนใหญ่กลัวเพราะพวกเขาไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ พวกเขาไม่อยากรบกวนใคร พวกเขาไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน พวกเขาไม่อยากให้ใครสร้างความขัดแย้ง เหมือนกับว่าพวกเขากลัวที่จะรบกวนโลกของพวกเขา

หรือคนอื่นๆ ที่สร้างความรำคาญจนพวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ขอสิ่งที่พวกเขาต้องการ และบางคนจะอยู่ในความไม่มีความสุขภายใน ในขณะที่พวกเขาสามารถขอได้ ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่ 13

13. กฎข้อสิบสาม จัดลำดับความสำคัญของการลงทุน

คนถังแตกหาเงินเพื่อซื้อของ ถ้าพวกเขาได้เงิน 100,000 บาท พวกเขาจะพูดว่า ว้าว ฉันจะซื้ออะไรได้บ้างด้วยเงินแสนนี้ ในขณะที่คนชนชั้นกลางทำเงินเพื่อให้พวกเขาสามารถปรับปรุงคะแนนเครดิตของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้กู้เงินเพื่อซื้อของที่ดีกว่า และพยายามตามให้ทันคนอื่นๆ

แต่คนรวยลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ ด้วยเงิน 1 แสน พวกเขาจะพูดว่า ว้าว โอเค ฉันจะลงทุนเงินนี้ไปลงที่ไหนดี เพื่อเปลี่ยนเงินนี้ให้เป็นเงินมากขึ้นในอนาคต เห็นไหมว่าความคิดของคนรวยจะต่างออกไป

78% ของคนอเมริกันใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน คนไทย 80% ใช้ชีวิตแบบไม่มีรายได้อยู่ได้นาน 9 วัน ซึ่งเป็นสถิติที่น่ากลัวมาก

พวกเขาไม่ลงทุนในอนาคต พวกเขาไม่ชะลอต้องการชั่วครู่ชั่วยาว พวกเขาต้องการทุกอย่างในตอนนี้เลยเพราะพวกเขารู้สึกว่ามีสิทธิ์ที่จะต้องได้ตอนนี้ เขาคิดว่าฉันควรมีสิ่งนี้ ทำไมคนอื่นถึงมีสิ่งดีๆ แล้วฉันไม่มี

ลองคิดใหม่ แทนที่จะซื้อรถใหม่เอี่ยม ถามตัวเองว่า ฉันจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรที่สามารถสร้างกระแสเงินสดเพียงพอที่จะซื้อรถคันนั้นได้ นั่นคือสิ่งที่คนประสบความสำเร็จทำ

คนรวยลงทุนในสิ่งต่างๆ เพราะพวกเขามีกรอบเวลาที่ยาวนานกว่า พวกเขามองเป็นทศวรรษ ไม่ใช่วัน พวกเขาคิดว่า ‘โอเค ถ้าฉันลงทุนตอนนี้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ฉันสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง’

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่ได้กำหนดวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ เป้าหมายหลักสำหรับสิ่งที่พวกเขาต้องการสร้างในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลื่อนโอกาสครั้งใหญ่สำหรับอนาคตเพื่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่รับประกันได้ในวันนี้ ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่ 14

14. กฎข้อสิบสี่ การเป็นคนที่ไร้ความสามารถ

เดี๋ยวนะ คุณได้ยินถูกต้องแล้ว ต้องเป็นคนไร้ความสามารถ

มันอาจจะเป็นการเล่นกับคำนิดหน่อย นั่นก็คือคุณไม่ต้องเข้าไปจัดการทุกเรื่องแม้แต่เรื่องเล็กเรื่องน้อย หรือเรื่องทางเทคนิคที่ซับซ้อนเพียงเพราะคุณสามาถทำมันได้หรือคุณเก่งคุณเข้าใจมัน คุณต้องรู้จักปล่อยให้คนอื่นทำบ้างแล้วเอาเวลาไปจัดการเรื่องใหญ่ๆ

มีคลิปสั้นๆ ที่กลายเป็นไวรัล ที่มีคนบอกว่าถ้าคุณอยากรวยก็ต้องขี้เกียจ และถ้าคุณอยากรวยก็ต้องไร้ความสามารถ นี่คือเหตุผลที่คุณต้องพิจารณาตัวเองว่าจะก้าวจากผู้ปฏิบัติงานไปเป็นเจ้าของในชีวิต

คุณรู้ไหม ถ้าคนรวยมีร้านอาหารและพ่อครัวลาออก เขาจะไม่กระโดดเข้าไปในครัวแล้วเริ่มทำอาหาร เขาจะไปหาพ่อครัวคนอื่นมาแทน นี่หมายถึงการทำงานผ่านคนอื่น เลือกที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม

ลองคิดดูง่ายๆถ้าคุณฉลาดเกินไป ถ้าคุณรู้เรื่องมากเกินไป คุณก็จะเป็นคนที่ให้คำตอบกับคนอื่นเสมอ ซึ่งหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาประสบปัญหา พวกเขาจะมาหาคุณเพื่อขอคำตอบเสมอ ซึ่งจะสร้างคอขวด และคอขวดถูกเรียกเช่นนั้นเพราะมันมาจากด้านบน

Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค ถึงแม้เขาจะมีความสมารถในการเขียน code โปรแกมกิ่งแค่ไหน ตอนนี้เขาก็ไม่มาวุ่นกับการเขียนโค๊ดแล้ว เขาเอาเวลาไปดูแลเรื่องการบริหารจัดการในระดับที่ใหญ่กว่าแล้วปล่อยให้โปรแกรมเมอร์ที่มีฝีมือจัดการเรื่อง coding ไป

คนที่ฉลาดที่สุดในโลกบางคนไม่ได้รวย ลองคิดดูเหมือนศาสตราจารย์ปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย เหตุผลก็คือเพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าการที่ไร้ความสามารถ การเลือกที่จะไม่รู้คำตอบเสมอไป แท้จริงแล้วจะช่วยให้คนรอบข้างก้าวขึ้นมาและเป็นเจ้าของโครงการ

ขอแนะนำให้คุณลองพิจารณาที่จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้อื่นให้ร่ำรวย และลงทุนในตัวพวกเขา ฝึกฝนพวกเขา สอนพวกเขา และนั่นคือวิธีที่คุณจะได้รับอิสรภาพ ซึ่งนำเราไปสู่ข้อที่ 15 ซึ่งก็คือการปกป้องชื่อเสียงของคุณ

15. กฎข้อ 15 ปกป้องชื่อเสียงของคุณ

ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณประสบความสำเร็จคุณก็จะเริ่มมีชื่อเสียง ซึ่งไม่ได้หมายถึงการมีชื่อเสียงแบบดารา หรือนักร้อง คนดังต่างๆ แต่คุณจะเป็นคนที่เป็นที่รู้จักจากคนรอบตัว จากเพื่อน จากคนในหมู่บ้าน หรือคนในพื้นที่มากขึ้น คนในวงการเริ่มรู้จัก มีคนพูดถึง

แต่พวกเขาจะรู้จักคุณแบบไหน คุณเป็นคนที่สามารถทำตามสัญญา คำมั่นสัญญาของคุณได้หรือไม่ หรือคุณเป็นคนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งเสมอหรือว่าทำทันทีวันวันนี้ คุณเป็นคนที่ มีคุณค่าที่คุณสามารถสื่อสารและแบ่งปันกับผู้อื่น และคุณยึดมั่นในคุณค่าเหล่านั้น และเมื่อพวกเขาถูกทดสอบ คุณมีความสม่ำเสมอและผู้คนเห็นสิ่งนั้น

คุณมีความซื่อสัตย์หรือไม่ เมื่อมีสิ่งผิดพลาดและมันเป็นความผิดของคุณยอมรับมันและก้าวขึ้นมาเพื่อพยายามทำให้มันถูกต้องหรือไม่ คุณเป็นคนที่ส่องแสงสว่างของคุณหรือไม่

ในท้ายที่สุด ผู้คนต้องการทำธุรกิจกับคนที่พวกเขารู้จัก ชอบ และไว้ใจ และยิ่งมีคนรู้จัก ชอบ และไว้ใจคุณมากเท่าไร คุณก็จะดึงดูดความสำเร็จเข้ามาในชีวิตคุณมากขึ้นเท่านั้น

นั่นคือกฎ 15 ข้อแห่งความสำเร็จความร่ำรวย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *