ในปี 1908 หนังสือลึกลับชื่อ The Kybalion (ภาษาไทยเรียกว่า คัมภีร์ไคบาเลี่ยน) ได้รับการตีพิมพ์ โดยระบุว่าผู้เขียนคือสามบุคคลนิรนามที่เรียกตัวเองว่า Three Initiates พวกเขารวบรวมคำสอนของปรมาจารย์ที่ชื่อว่า Hermes Trismegistus ซึ่งเชื่อกันว่ามีชีวิตก่อนยุคอียิปต์โบราณ และมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า Thoth (ธอธ) และตามนานเชื่อกันว่าเขาเป็นเป็นอวตารแห่งเทพธอธและเฮอร์เมส
จุดประสงค์ของงานเขียนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับและภูมิปัญญาทางของศาสตร์ลึกลับ (Esoteric) คือการรวมความรู้ทั้งหมดที่สืบทอดมาจากอารยธรรมโบราณให้เป็นเจ็ดหลักการของ Hermetic ที่เข้าใจและนำไปใช้ได้
ซึ่งเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจกฎพื้นฐานของจักรวาล และวิธีการนำกฎเหล่านี้ไปใช้เพื่อมีอิทธิพลต่อ 3 ระดับของการดำรงอยู่ ได้แก่ ระดับกายภาพ ระดับจิตใจ และระดับจิตวิญญาณ
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คำสอนเหล่านี้ได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวดโดยกลุ่มและองค์กรลับต่างๆ ซึ่งรักษาความลับอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับความรู้นี้
เพียงแค่การอ่านตำราโบราณเหล่านี้หลายเล่มไม่ได้หมายถึงจะจะสามารถเปิดเผยความหมายที่แท้จริงของคำสอนนี้เสมอไป เนื่องจากคำสอนเหล่านี้และผู้ปฏิบัติถูกข่มเหง ทรมาณอย่างมากมายในหลายๆยุคถ้าหากกลุ่มที่ปกป้องคำสอนนี้รู้ว่ามีการเผยแพร่ไปสู่บุคคลภายนอก
พวกเขาจึงต้องเขียนด้วยภาษาสัญลักษณ์ หรือ รหัส ตัวอย่างที่ชัดเจนของสิ่งนี้พบได้ในตำราส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุและคำสอนของ Hermetic ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่จะเข้าใจตำราเหล่านี้อย่างถ่องแท้ และมีน้อยกว่านั้นที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง
หากความรู้ไม่ได้ถูกใช้หรือแสดงออก มันก็จะไร้ประโยชน์ ไม่สามารถให้ประโยชน์แก่ผู้ครอบครองได้
สิ่งสำคัญคือไม่เพียงแต่การศึกษาและทำความเข้าใจสัจพจน์และสุภาษิตในคำสอนนี้เท่านั้น แต่ยังต้องนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันด้วย และต้องซึมซับหลักการเหล่านี้ รวมไปถึงการฝึกฝน และนำไปใช้ หลักการเหล่านี้จะกลายเป็นสมบัติของตนอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อนำไปปฏิบัติเท่านั้น
วิธีนำ The Principle of Mentalism ไปใช้ในชีวิต
หลักการ Hermetic มีเจ็ดข้อ และเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด หลักการแรกคือหลักการจิตนิยม หรือ ความเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในจิตใจ (The Principle of Mentalism) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่หลักการอื่นๆขึ้นอยู่และดำรงอยู่ได้
หากเราเริ่มต้นจากรากฐานที่ว่าจักรวาลเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นทางจิตใจ และทุกสิ่งทุกอย่างดำรงคงอยู่ในจิตใจของทั้งหมด ดังนั้น การสร้างทั้งหมดต้องมีต้นกำเนิดมาจากจิตใจของสรรพสิ่ง (The All ซึ่งหมายถึงสรรพสิ่ง หรือ พลังจักรวาล หรือ ผู้สร้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้จักรวาลนี้ดำเนินต่อไปได้)
ตัวเราสามารถนำหลักการนี้มาใช้โดยเข้าใจและใช้ปฏิบัติตามหลักการที่ระบุนี้ได้ โดยตระหนักอยู่เสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง ดังนั้นความคิดของเราย่อมมีอิทธิพลต่อสถานการณ์และประสบการณ์ของเราเอง การใช้หลักจิตอาจเป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการคิดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการหรือการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับสันติภาพในใจและความสัมพันธ์กับโลกและผู้คนรอบข้าง
วิธีนำ The Principle of Correspondence ไปใช้ในชีวิต
ตามหลักการอื่นที่เขียนใน Kybalion หลักการการสอดคล้อง (The Principle of Correspondence) ก็เช่นเดียวกับที่สรรพสิ่งสร้างด้วยจิตใจของมัน เราก็สามารถสร้างด้วยจิตใจของเราได้
หลักการการสอดคล้องระบุว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างกฎของปรากฏการณ์ในระดับต่างๆ ของการดำรงอยู่เสมอ (กล่าวคือ ระดับกายภาพ ระดับจิตใจ และระดับจิตวิญญาณ) คำกล่าวใน The Kybalion ที่ว่า เบื้องบนเป็นเช่นไร เบื้องล่างก็เป็นเช่นนั้น (As Above, So Below; As below, so Above) มันกำหนดว่ามีความกลมกลืนกันระหว่างระนาบทางกายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ยังมีลำดับชั้นของการสร้าง ที่ซึ่งสิ่งที่ละเอียดอ่อนก่อเกิดเป็นความหนาแน่น และจิตวิญญาณก่อให้เกิดการสร้างสสาร สิ่งนี้สอดคล้องหรือสะท้อนกับหลักการอื่นๆอีก 7 ประการ
วิธีนำ The Principle of Vibration ไปใช้ในชีวิต
หลักการของการสั่นสะเทือน (The Principle of Vibration) หลักการนี้กล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง มันอธิบายความแตกต่างระหว่างปรากฏการณ์ต่างๆ ของสสาร พลังงาน จิตใจ และแม้กระทั่งวิญญาณ
ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น การสั่นสะเทือนของวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่มากจนแทบจะถือได้ว่าอยู่นิ่ง เหมือนล้อที่หมุนเร็วมากจนดูเหมือนไม่เคลื่อนไหว ในอีกด้านหนึ่งเราพบรูปว่าสสารประกอบด้วยมวลที่หนาแน่นมาก ซึ่งมีการสั่นสะเทือนอ่อนมากจนดูเหมือนจะอยู่นิ่งเช่นกัน มันก็คือหลักการที่บอกว่า “เบื้องบนเป็นเช่นไร เบื้องล่างก็เป็นเช่นนั้น” อีกเช่นกัน
จากแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่มีการสั่นสะเทือนอย่างมากมาย การสร้างทั้งหมดจึงปรากฏออกมาในโลกของกายภาพซึ่งแต่ละส่วนมีการสั่นสะเทือนในระดับที่แตกต่างกัน ส่วนที่มีความถี่ต่ำกว่าที่ก่อให้เกิดสสาร
ทั้งหมดนี้ยืนยันลักษณะทางจิตและความละเอียดอ่อนของการดำรงอยู่ หากเข้าใจสัจพจน์เหล่านี้ เราตระหนักว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่ในโลกวัตถุ หรือทางกายภาพของเราเป็นผลพลอยได้จากการสั่นสะเทือนทางจิตหรือทางวิญญาณ
ดังนั้นเพื่อที่จะมีอิทธิพลและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเราและความเป็นจริงทางกายภาพที่เราประสบ เราต้องเปลี่ยนความคิด และลักษณะภายในของจิตใจของเราให้เป็นไปอย่างที่อยากจะให้โลกข้างนอกเป็น และเปลี่ยนการสั่นสะเทือนภายในของเรา แล้วจะเปลี่ยนการสั่นสะเทือนได้อย่างไร? ตรงนี้หลักการ Hermetic อีกข้อเข้ามามีบทบาท
วิธีนำ The Principle of Polarity ไปใช้ในชีวิต
นั่นคือหลักการต่างขั้ว (The Principle of Polarity) คุณสามารถปรับเปลี่ยนการสั่นสะเทือนทางจิตของคุณผ่านมีเจตจำนง (Will) มุ่งไปหาสิ่งที่คุณปราถณา โดยการมุ่งโฟกัสไปที่ความรู้สึกของการได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการ เจตจำนงดังกล่าวจะนำพาให้เราสนใจแต่สิ่งที่เราต้องการ และสิ่งนี้จะเปลี่ยนการสั่นสะเทือนภายใจจิตของเรา
เพื่อกำจัดสถานะทางจิตแบบอื่นๆที่ไม่พึงประสงค์ให้ใช้หลักการของขั้วและมุ่งความสนใจของคุณไปที่ขั้วตรงข้ามของสิ่งที่ไม่ต้องการ นั่นก็คือโฟกัสแต่สิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น
นี่เป็นหนึ่งในสูตร Hermetic ที่มีประโยชน์มากที่สุด หลักการของขั้วทำงานตามระดับการสั่นสะเทือนที่มีองศาต่างกัน ตั้งแต่บวกไปจนถึงลบ โดยที่ขั้วบวกมีธรรมชาติสูงกว่าขั้วลบ สถานะทางจิตและสิ่งที่ตรงกันข้ามเป็นเพียงสองขั้วของสิ่งเดียวกัน และผ่านการเปลี่ยนสภาพทางจิต ขั้วนั้นสามารถย้อนกลับได้
ตัวอย่างเช่นหากเราเผชิญหน้ากับความกลัว การพยายามที่จะระงับไม่ให้กลัวนั้นมันก็ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเราปลูกฝังความกล้าหาญเข้ามาแทนที่แล้วความกลัวก็จะเริ่มหายไป
ลองพิจารณาอีกตัวอย่างนี้ หากคุณต้องการทิ้งอวิชชา (ความเขลา ความไม่รู้) ออกไปจากชีวิต คุณไม่สามารถลบความไม่รู้นั้นออกไปได้เหมือนกับที่คนหนึ่งลบคำออกจากกระดานดำ
อวิชชาจะค่อยๆจางหายไปเมื่อคุณหาความรู้เพิมขึ้นและได้รับความรู้เพิ่มขึ้น มันคล้ายกับการกำจัดความมืดออกจากห้องคุณเพียงแค่ต้องเปิดไฟความมืดก็จะหายไป
เพื่อขจัดคุณสมบัติเชิงลบ ให้มุ่งเน้นไปที่ขั้วบวกของคุณสมบัตินั้น และการสั่นสะเทือนจะค่อยๆ เปลี่ยนจากลบเป็นบวก
จิตใจ เหมือนโลหะและธาตุ สามารถเปลี่ยนสภาพจากระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่ง จากสภาวะหนึ่งไปอีกสภาวะหนึ่ง จากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่ง และจากการสั่นสะเทือนหนึ่งไปอีกการสั่นสะเทือนหนึ่ง
การเรียนรู้หลักการขั้วหมายถึงการเรียนรู้หลักการของการเปลี่ยนสภาพทางจิตหรือการเล่นแร่แปรธาตุ (Alchemy) เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการเปลี่ยนสภาพทางจิต เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลกที่อยู่รอบตัวเราในทำนองเดียวกัน แต่เราต้องพิจารณาหลักการข้อที่เจ็ดอีกข้อหนึ่งด้วย นั่นคือหลักการของจังหวะ (The Principle of Rhythm)
วิธีนำ The Principle of Rhythm ไปใช้ในชีวิต
หลักการนี้เชื่อมโยงกับหลักการของขั้วอย่างแท้จริง ซึ่งหากมีการกระทำ ก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง หากมีการก้าวหน้าก็ย่อมจะมีการถอยกลับ หากมีการขึ้นก็จะมีการลง กฎธรรมชาตินี้ใช้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ดวงอาทิตย์ โลก สัตว์ จิตใจ พลังงาน สสาร
มันปรากฏให้เห็นในการสร้างและการทำลายล้างของโลก ในการเพิ่มขึ้นและการล่มสลายของประเทศชาติ ในชีวิตและความตาย และท้ายที่สุด ในสภาวะทางจิตใจของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจักรวาลจะแสวงหาความสมดุลอยู่เสมอทั้งสถานะบวกและลบ แต่เราไม่ได้ถูกบังคับให้ติดอยู่ในสถานะเชิงลบ
การเข้าใจจังหวะและความสมดุลของจักรวาลทำให้เรามีมุมมองและการยอมรับเมื่อลูกตุ้มแห่งสถานะแกว่งไปสู่ขั้วลบ อย่างไรก็ตามในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ Hermetic เรามีเครื่องมือที่จะเอียงสมดุลกลับไปสู่ด้านบวก
หนึ่งในสัจพจน์ Hermetic กล่าวว่าระนาบที่สูงกว่าจะควบคุมระนาบที่ต่ำกว่า เช่นเดียวกับที่กฎหมายที่สูงกว่าควบคุมกฎหมายที่ต่ำกว่า จังหวะสามารถทำให้เป็นกลางได้ผ่านศิลปะของโพลาไรเซชัน (Polarization – การสอดแทรกของจังหวะ)
สติและการตระหนักรู้ของคนเรามีอยู่ในทั้งระนาบที่สูงขึ้นและระนาบที่ต่ำกว่า ผู้ที่เชี่ยวชาญหลักการ Hermetic และปฏิบัติจนได้ผลสามารถทำให้การแกว่งของลูกตุ้มทางจิตปรากฏบนระนาบที่ต่ำกว่าและโดยการทำจิตให้ขึ้นไปสู่ระนาบที่สูงขึ้น ในขณะที่ยังคงไม่ได้รับผลกระทบในระนาบที่สูงกว่า
สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการสอดแทรกตัวเองในตัวตนที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้การสั่นสะเทือนทางจิตของอัตตาสูงขึ้นเหนือระนาบสติธรรมดา ซึ่งก็คือการตั้งสติ ทำสมาธิ ปล่อยวางและละทิ้งการดึดติดกับสถานะปัจจุบันแต่มุ่งพาตัวเองไปสู่สถานะอื่น
ตัวอย่างเช่นคุณอยากมีเงินทองมากมายแต่ว่าตอนนี้เงินในกระเป๋าไม่มีเงิน เงินในบัญชีเหลือไม่ถึงร้อย ก็ต้องปล่อยความกังวลในเรื่องเงินที่อยู่ตรงหน้าทิ้งไป แล้วนึกถึงแต่ภาพเงินทองที่ไหลมาเทมาในชีวิตแทนถึงแม้ว่าสภาพที่เห็นตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม นี่แหละที่เรียกว่าการทำจิตให้ไปอยู่ในระนาบที่สูงขึ้น
มันเหมือนกับการอยู่เหนือบางสิ่งและปล่อยให้มันผ่านไปเบื้องล่าง ผู้ที่บรรลุความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งจะสอดแทรกตัวเองในขั้วบวกโดยยืนยันสถานะบอกตัวเองว่า ฉันเป็น (I am) เช่น ฉันเป็นคนรวย ฉันเป็นคนประสบความสำเร็จ ฉันเป็นคนที่ดึงดูดเงินทองเข้ามาตลอด เป็นต้น การขึ้นไปอยู่ระนาบที่สูงกว่าทำได้โดยปฏิเสธสิ่งที่เป็นอยู่ในขั้วของสถานะปัจจุบันที่เป็นอยู่คือกำลังถังแตก
หากทำได้พวกเขาจะอยู่เหนือระนาบของสติของตนโดยการปฏิเสธการทำงานของจังหวะปัจจุบัน โดยการประยุกต์ใช้กฎที่สูงขึ้น พวกเขาได้รับความเชี่ยวชาญเหนือกฎที่ต่ำกว่า
บุคคลทั้งหมดที่บรรลุระดับความเชี่ยวชาญส่วนบุคคลใดๆ จะฝึกฝนสิ่งนี้โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะเข้าใจกฎหรือไม่ พวกเขาเพียงแค่ปฏิเสธที่จะถูกพัดพาไปตามการแกว่ง และยืนยันความเหนือกว่าของพวกเขาอย่างมั่นคง ยังคงเป็นบวก
ทุกอย่างคือมายา
ปรมาจารย์ด้าน Hermetic บรรลุความสมบูรณ์แบบในระดับที่สูงขึ้นเพราะพวกเขาเข้าใจกฎที่พวกเขากำลังเรียนรู้อย่างถ่องแท้ และด้วยความช่วยเหลือของกฎที่สูงขึ้นและความตั้งใจของพวกเขา พวกเขาบรรลุระดับของความสมดุลและความมั่นคงที่แทบจะคิดไม่ถึงสำหรับผู้ที่ถูกพัดพาไปด้วยอารมณ์
พวกเขาเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างในที่ราบต่ำกว่านั้นมีลักษณะเป็นคู่ และด้วยการใช้จิตใจของพวกเขา พวกเขาเอาชนะความยากลำบากต่างๆ พวกเขารู้ว่าในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างคือมายา เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นทางจิตใจของทั้งหมด ซึ่งสิ่งมีชีวิตได้สัมผัสกับตัวเองในรูปแบบและจิตสำนึกในแบบต่างๆ
พวกเขายังเข้าใจด้วยว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากทั้งหมด แต่เป็นส่วนหนึ่งของมัน พวกเขามีความศักดิ์สิทธิ์โดยพื้นฐาน เป็นส่วนย่อยของทั้งหมดหรือแหล่งที่มา เป็นจิตวิญญาณนิรันดร์ที่จุติมาในโลกวัตถุนี้เพื่อพัฒนา สัมผัส และจดจำตัวเอง พวกเขารู้ว่าโดยหลักการของเศษส่วนและความสอดคล้องกัน พวกเขายังมีพลังในการสร้างและกำหนดความเป็นจริงของตนเองด้วยจิตใจ
เบื้องหลังคำสอนที่ถ่ายทอดโดยปรมาจารย์และวัฒนธรรมโบราณต่างๆ เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ Hermeticism หรือแม้แต่พระเยซู มีหลักการของธรรมชาติทางจิตหรือทางวิญญาณของจักรวาล
หากจักรวาลเป็นจิต ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะอนุมานได้ว่าการเปลี่ยนสภาพทางจิตต้องปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงสภาวะและปรากฏการณ์ของจักรวาล และจิตใจต้องเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามีเพื่อส่งผลต่อปรากฏการณ์เหล่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
ยังมีหลักการ Hermetic สองข้อที่ต้องพูดคุยกัน คือ หลักการของเหตุและผล ซึ่งมีหลักการเทียบเท่าของศาสนาพุทธ และ ฮินดูในแนวคิดของกรรม เราจะนำมาเสนอแยกต่างหากในบทต่อไปเนื่องจากเป็นหลักการที่สำคัญและมีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเราที่สุด