สิ่งที่เราเรียนรู้จากนักคิดและผู้ศึกษาศาสตร์ด้านพลังของจิตแบบแนวคิดตะวันตกก็คือ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์มีคือพลังของความคิด และสิ่งที่จะผลักดันให้ความคิดดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่ไม่ฝ่อ ไม่หยุดกลางทาง ไม่เปลี่ยนใจไปกับสิ่งแวดล้อม และยืนหยัดนังรักษาความคิดนั้นไว้จนบรรลุ ก็คือ ‘เจตจำนง‘ (‘Will’)
เมื่อเราใช้ เจตจำนง ออกไปอย่างถูกต้องแล้วเจตจำนงนี้จะส่งผลให้ความคิดจะมีพลังมหาศาล แน่นอนทั้งชีวิตคุณอาจไม่เคยคิดถึงพลังของเจตจำนงของตัวเองมาก่อน อาจจะคิดว่ามันก็คือแค่ตวามตั้งใจแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่พลังนี้แหละที่นักศึกษาศาสตร์ลึกลับโบราณใช้สร้างสิ่งที่หลายคนมองว่าเหนือธรรมชาติ จนคิดว่ามันเป็นเรื่องปาฎิหารย์แต่จริงๆแล้วมันเป็นผลของลัพธ์ของกฏของจักรวาล
ความแตกต่างระหว่างเจตจำนงกับความตั้งใจก็คือ ความตั้งใจ (Intention) เป็นการคาดหวังจากสิ่งที่คิดหรือทำโดยมีความความปราถนาและศัทธาเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย เช่นตั้งใจเรียนหนังก็เป็นไปได้ที่ผลการเรียนอาจจะออกมาดีเลิศ หรืออาจจะไม่ดี หรือแค่พอผ่าน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะการตั้งใจแบบนี้อาจจะไม่ได้ออกมาจากใจจริงๆว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ อาจจะตั้งใจเพราะโดนพ่อแม่เคี่ยวเข็น หรือตั้งใจเพราะถูกกดดันจากคนรอบข้าง ความตั้งใจเป็นการโฟกัสกับสิ่งที่คนคนหนึ่งทำโดยในใจลึกๆยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจว่าตัวเองจะทำได้ และมีจำนวนมากของความตั้งใจยังเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันว่ามีนคงจะออกมาดีนะ
ในขณะที่ เจตจำนง (Will) จะเข้มข้น หนักแน่น และมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน กว่าความตั้งใจไปอีกขั้น มันคือสิ่งที่ส่งออกมาจากจิตใจของเราจริงๆ มีทั้งความคิด ความปรารถนาและศรัทธาอย่างแรงกล้าว่ามันจะต้องสำเร็จ นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยพลังชีวิต เมื่อส่งออกไปอย่างถูกต้อง จะมีจิตวิญญาณของเราเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของตัวตน
พลังของภายในของคุณที่ชัดเจนจะนำพาความมุ่งมั่นของเจตจำนงมาสู่เรา ด้วยสมาธิที่บริสุทธิ์ จนสามารถทะลุผ่านความจริงและส่งพลังทั้งหมดไปยังเป้าหมายใดก็ได้ จิตสำนึกของเราอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก ซึ่งประกอบด้วยพลังงานและความคิดของโลกที่อยู่รอบตัวเรา ส่วนใหญ่แล้ว พลังงานของคนรอบข้างจะอ่อนแอและไม่ชัดเจน พลังที่พวกเขามี มักจะถูกบั่นทอนด้วยอารมณ์
ให้ลองจินตนาการสถานการณ์หนึ่ง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของสังคมๆหนึ่ง มีบุคคลหนึ่ง สมมุติว่าเป็นตัวคนเองแล้วกัน ปรากฏขึ้นในสังคมนี้ คุณมีความทรงพลังในด้านความคิด ชัดเจน ไม่ขุ่นมัวในเรื่องความปรารถนาหรือจินตนาการ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร คุณมีเป้าหมายชีวิตที่แน่นอนไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความคิดที่จะบรรลุเป้าหมายของคุณได้
จริงๆแล้วด้วยความคิดและเจตจำนงที่คุณมีอยู่นี้ คุณแทบอจะอยู่เหนืออารมณ์ของคนทั่วไปที่ยังสับสนใจชีวติว่าตัวเองต้องการ หากมองในแง่พลังของเจตจำนงแล้วคุณยืนอยู่เหนือกว่าคนอื่น จากตรงนั้น คุณส่งเจตจำนงของเขาไปสู่สถานการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต โดยรู้ว่าพลังของคุณเองไม่อาจหยุดยั้งได้
คำถามคือ จักรวาลจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร? แน่นอนย่อมไม่ได้ปฏิเสธ พลังของคุณแข็งแกร่งเกินกว่าสถานการณ์ภายนอกมาเปลี่ยนแปลงคุณได้ เจตจำนงของคุณไม่ขุ่นมัวด้วยความคิดเรื่องคนนั้นจะคิดแบบนั้น คนนี้จะคิดแบบนี้ แต่มันมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
ความปรารถนาของเชคุณไม่ได้มาถึงเขาเพราะโชคชะตา แต่มาถึงเขาด้วยพลังแห่งความต้องการของเขาเอง เพราะคุณต้องการมัน เพราะความคิดนั้นผูกอยู่ในเจตจำนงของคุณ ได้รับพลังจากจิตวิญญาณของคุณ ไม่ว่าจะมีพลังเหนือธรรมชาติไดๆที่ถูกปฏิเสธคุณได้ นี่แหละคือพลังของเจตจำนง
ตอนที่ได้สัมผัสแนวคิดนี้ครั้งแรก คุณก็จะรู้สึกต่อต้านกับความคิดที่ว่าต้องทุ่มพลังในการสร้างความต้องการที่เข้มข้นขนาดนั้น เพื่อให้ถึงระดับของเจตจำนงนั้น และมันดูเหมือนว่ามัน “ผิด” ที่จะใช้พลังของตัวเองในแง่ของศาสตร์ที่ตัวคุณยังไม่เข้าใจดีเลย แล้วมันก็เหมือนเรื่องลึกลับซะด้วย เพียงเพื่อบังคับให้ชีวิตมอบทุกสิ่งที่คุณต้องการ มันดูแปลกๆนะ แล้วเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จะไปอยู่ไหนละทีนี้ คุณอาจจะคิดแบบนี้
แต่หลังจากนั้นคุณก็จะค่อยๆเริ่มคุ้นกับแนวคิดนี้ และพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับศีลธรรมรอบวิธีการของคุณเอง ในไม่ช้าคุณก็ตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือความสำเร็จของตัวคุณเอง มันก็คือสิ่งที่คุณรู้ว่าคุณต้องทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ส่วนวิธีการว่าจะทำอย่างไรจะได้สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีความสำคัญเลย
สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ คุณต้องการอะไรและคุณพร้อมที่จะใช้พลังงานมากแค่ไหนเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ? ถ้าระดับความกระตือรือร้นที่คุณเต็มใจจะทุ่มเทให้กับสิ่งที่คุณแสวงหานั้นไม่มาก แสดงว่าคุณไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ
แต่ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความพิเศษมากๆ สำหรับคุณ มันแทบจะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยคุณค่าของมันเองในสายตาของคุณ แล้วระดับความมุ่งมั่นของคุณที่มีต่ออุดมคตินั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะคุณรู้ว่าเหตุผลทั้งหมดของชีวิตคุณนั้นอยู่ในภารกิจหรือความสำเร็จนั้น
ถ้าเป็นเช่นนี้คุณจำเป็นต้องใช้ทุกอณูของการเป็นคนของคุณผ่านความพยายามทางร่างกาย รวมถึงความมุ่งมั่นทางจิตใจ รวมถึงพลังลึกลับภายในตัวคุณแม้ตัวคุณเองจะไม่เข้าใจมันเท่าไหร่นักก็ตาม เพื่อส่งมอบความมุ่งมั่นของคุณ
มันจะมีการเปลี่ยนแปลงใจรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณ ชีวิตของคุณจะมีเป้าหมายที่คุณอยากไปให้ถึง คุณรู้ว่ามีบางอย่างที่คุณปราถนาและหากคุณไม่ไปให้ถึงจุดนั้นแล้วคุณรู้ว่าคุณก็จะสูญเสียความเป็นตัวตนของคุณ
เมื่เป็นเช่นนี้แล้ว คุณจะเพิกเฉยต่อสิ่งที่คุณปรารถนาอย่างแน่นอน ตรงกันข้ามคุณมีความกล้าที่จะทำตามความมุ่งมั่นของคุณ และมั่นใจที่จะรับสิ่งต่างๆที่จักรวาลนี้มีให้ หลังจากนั้นโอกาสต่าง ผู้คน สถานการณ์ต่างๆ โชคจังหวะหรือดวง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผู้เรายังไม่เข้าใจนัก จะเข้ามาในชีวิตให้เป็นไปอย่างที่คุณต้องการแบบทั้งมีและเหตุผล และแบบที่คุณอาจจะไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้
ประเด็นสำคัญที่จะสื่อสารตรงนี้ก็คือ ถ้าความตั้งใจของคุณแน่วแน่และเจตจำนงของคุณชัดเจน สถานการณ์ต่างๆ จังหวะ โชค ความบังเอิญ รวมถึงผู้คนจะพร้อมให้ในสิ่งที่คุณต้องการ แต่คุณต้องมีความมั่นใจว่าสิ่งที่คุณต้องการมันจะเป็นจริงได้ คุณต้องเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณค่าของตัวเองเพียงเล็กน้อย มันจะทำให้คุณเปลี่ยนจากความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดให้ไปสู่ผลลัพธ์ที่น้อยลง
มีสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือ การใช้พลังเจตจำนงเกินเลยจนเอาเปรียบผู้อื่น หรือหลงระเริงไปกับอัตตาของตัวเองโลกนี้ทุกคนต่างแก่งแย่งแข่งขันมันจะดีกว่าไหมถ้าคุณประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกหรือเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แต่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เมื่อคุณมุ่งเน้นที่ตัวเองและชีวิตของคุณ คุณจะกลายเป็นคนที่มีพลังมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่คุณต้องปฎิสัมพันธ์ คุณควรระมัดระวังไม่ให้หลงระเริงไปกับความมั่งคั่งหรือตำแหน่งที่คุณได้รับ ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็ว คุณอาจจะทำลายตัวเอง
หรือแย่กว่านั้น คุณอาจจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตคุณกลับเห็นแต่ความน่าเกลียดของตัวเอง คุณอาจจะเห็นว่าคุณประสบความสำเร็จแต่เป็นเพียงในด้านวัตถุวั แต่กลับล้มเหลวในเรื่องคุณค่าความเป็นคน ไร้เกียรต์ศักดิ์ศรี และไร้ค่าทางจิตวิญญาณ
เคล็ดลับของเรื่องเงินคือความสมดุล ไม่ว่าจะมีเงินเดือนละพันหรือเดือนละล้าน คุณค่าที่แท้จริงของความสมดุลนั้นคือการสนับสนุนจิตวิญญาณของคุณ และปล่อยให้ความงามและความคิดสร้างสรรค์ภายในออกมา ดังนั้นเงินจึงเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้คุณมีความสุข นอกจากนี้แล้วยังมีความรัก ความสัมพันธ์กับคนอื่น ความเข้าอกเข้าใจ การยอมรับจากคนรอบข้าง
คุณควรนั่งคุยกับคนที่คุณรัก และหารือเกี่ยวกับความต้องการทางการเงินของคุณจริง ๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้กำหนดว่าเขาหรือเธอต้องการอะไร และระดับความตั้งใจของแต่ละคนเป็นอย่างไร จากนั้นคุณก็สามารถปรับความหวังและความฝันของคุณให้เหมาะสมกับความตั้งใจของคุณ และคุณจะเห็นว่าระดับของเจตจำนงที่คุณส่งออกไปนั้นจะแข็งแกร่งพอที่จะทำให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการหรือไม่
ถ้าความตั้งใจของคุณไม่ได้สูงมากนักคุณจะต้องยอมรับความจริงนั้นว่าสิ่งที่คุณจะได้รับจากชีวิตนั้นก็จะไม่สูงตาม หรือมีอีกทางคือคุณต้องพัฒนาความตั้งใจของคุณผ่านสมาธิและวินัย เพื่อทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น เมื่อมันแข็งแกร่งแล้ว พลังแห่งเจตจำนงที่คุณส่งออกไปในชีวิตจะรับประกันว่าคุณจะได้สิ่งที่ใจคุณปรารถนาอย่างแน่นอน