หลายปีก่อน ดร.โรเบิร์ต แอนโธนี (Dr. Robert Anthony) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์ระบบประสาทและการสะกดจิตทางคลินิกและนักเขียนแนวการพัฒนาทางด้านพลังของความคิดและจิตใจซึ่งได้เขียนหนังสือขายดีและใช้เวลามากกว่า 30 ได้กล่าวว่าค้นพบสูตรที่ทำให้ผมสามารถดึงดูดทุกสิ่งที่ผมปรารถนาเข้ามาในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
กระบวนการนี้เรียกว่า “การเปลี่ยนความต้องการในใจคุณให้เป็นความจริงอย่างรวดเร็ว” ซึ่งมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า เราดึงดูดสิ่งที่เราสั่นสะเทือนอยู่ใน “ช่วงเวลาปัจจุบัน” กล่าวคือ สิ่งที่เรามีในชีวิตคือสิ่งที่ตรงกับความตระหนักรู้ในปัจจุบันของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เข้ามาหาเราผ่านกฎพื้นฐานที่สุดของฟิสิกส์ (Quantum Physics) นั่นคือ “สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน” ซึ่งก็คือ กฎแห่งแรงดึงดูด นั่นเอง
มันเป็นสิ่งที่แน่นอนและไม่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพ ความเชื่อทางศาสนา หรือการเป็นคน “ดี” หรือ “เลว” ไม่เกี่ยวกับการเป็นคนฉลาด หรือการทำงานหนัก ไม่มีใครอยู่เหนือกฎนี้ มันเป็นกฎที่ของจักรวาลไม่อาจหลีกเลี่ยง โต้แย้งหรือหักล้างได้
คุณอาจไม่เคยตระหนักมาก่อนว่ากฎนี้มีผลกับชีวิตของคุณและชีวิตของทุกคนบนโลก กฎแห่งแรงดึงดูดนั้นเป็นกลางและไม่มีอคติ หมายความว่ามันทำงานได้ทั้งเมื่อคุณต้องการและไม่ต้องการ
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าคุณคือ “ผู้สร้าง” อันที่จริง คุณไม่มีทางเลือกที่จะไม่สร้าง เพราะคุณ “สร้าง” อยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่
อย่างไรก็ตาม คุณมีทางเลือกที่จะ “สร้าง” อะไร น่าเสียดายที่การสร้างสรรค์ส่วนใหญ่ในชีวิตผู้คนเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่คือเหตุผลที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือสิ่งต่าง ๆ “เกิดขึ้น” กับพวกเขา เหตุผลที่เรารู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ “เกิดขึ้น” กับเราเป็นเพราะเราไม่เข้าใจว่ากฎแห่งแรงดึงดูดทำงานอย่างไร ทำให้เราได้รับผลลัพธ์ ผลประโยชน์ และข้อเสียที่เราไม่เข้าใจ
กฎแห่งแรงดึงดูดนั้นไม่อาจต้านทานได้ เช่นเดียวกับกฎธรรมชาติอื่น ๆ เช่น แรงโน้มถ่วง ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็ก หรืออื่นๆ ที่ทำงานด้วยความแม่นยำทางคณิตศาสตร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กฎทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ “ทุกครั้ง” อาจมีเพียงช่องทางการกระจายเท่านั้นที่ไม่สมบูรณ์แบบ
เพื่อให้เข้าใจว่ากฎแห่งแรงดึงดูดและการทำให้ความฝันเป็นความจริงอย่างรวดเร็วทำงานอย่างไร และมีผลต่อชีวิตเราอย่างไร เราต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับกระบวนการคิดสร้างสรรค์ของเรา
พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกความคิดที่คุณคิดนั้นมีพลังงานความถี่สั่นสะเทือน (Frequency and Vibration) เป็นของตัวเอง ความคิดนั้นจะถูกส่งเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ จากนั้นผ่านกฎแห่งแรงดึงดูด
หลังจากนั้นมันจะดึงดูดบุคคล สถานที่ สิ่งของ ประสบการณ์ที่คุณจะได้พบเจอ หรือสถานการณ์อื่น ๆ ที่มีการสั่นสะเทือนที่ตรงกันหรือสั่นสะเทือนในความถี่เดียวกัน ทุกความคิดคือรูปแบบการสั่นสะเทือน รูปแบบการสั่นสะเทือนมีแนวโน้มที่จะสั่นพ้องกับการสั่นสะเทือนที่คล้ายคลึงกัน และการสั่นพ้องนี้จะเป็นการเริ่มต้นกระบวนการสร้างสรรค์ต่างๆ
ฟิสิกส์ควอนตัมแสดงให้เห็นว่าสสารทั้งหมดเป็นเพียงพลังงานที่มีอัตราการสั่นสะเทือนที่แน่นอน สสารถูกดึงดูดไปยังสสารอื่น เราเรียกสิ่งนี้ว่ากฎแห่งแรงโน้มถ่วง พลังงานทั้งหมดจะดึงดูดพลังงานอื่น ๆที่มีอัตราการสั่นสะเทือนเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
ความเชื่อและความคิดทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผูกติดอยู่กับหรือมาพร้อมกับกระแสอารมณ์ที่รุนแรง จะสั่นสะเทือนในความถี่หรือพลังงานที่แน่นอน และสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ ผู้คน และแนวคิดที่สั่นสะเทือนอย่างกลมกลืนกับความคิดเหล่านี้จะถูกดึงดูดเข้ามา
ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นผ่านการสั่นสะเทือนของพลังงาน เสียงคือการสั่นสะเทือน แสงคือการสั่นสะเทือน สสารคือการสั่นสะเทือน ความคิดคือการสั่นสะเทือน อารมณ์คือการสั่นสะเทือน ทุกสิ่งคือการสั่นสะเทือน สิ่งใดก็ตามที่สั่นสะเทือนในรูปแบบเฉพาะจะดึงดูดการสั่นสะเทือนที่เหมือนกัน สิ่งนี้ทำงานในระดับเคมี กายภาพ จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ
เมื่อคุณเข้าใจหลักการนี้ คุณจะรู้ว่าทำไมคุณถึง “ไม่มี” สิ่งที่คุณต้องการในชีวิตของคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณคิดถึงสิ่งที่คุณ “ไม่” ต้องการ คุณจะเริ่มรูปแบบการสั่นสะเทือนที่ดึงดูดสิ่งที่คุณกำลังพยายามหลีกเลี่ยง
สิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นหากคุณเข้าไปในประสบการณ์ในอดีตของคุณและฉายภาพความคิดเชิงลบนั้นไปยังปัจจุบันหรืออนาคตของคุณ คุณจะดึงดูดความคิดแบบเดียวกันนี้จากคนอื่นๆมากขึ้น การสนทนาที่มากขึ้น หลักฐานที่มากขึ้น สถานการณ์ที่มากขึ้น และเหตุการณ์ที่มากขึ้นที่จะทำให้ความคิดเชิงลบนี้คงอยู่
พูดเป็นภาษาบ้านๆคือคุณจะดึงดูดสิ่งที่คุณคิดและโฟกัสเข้ามาในชีวิตืไม่ว่าคุณจะต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งนั้นก็ตาม หรือคุณจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ตาม ถ้าคุณใช้พลังงานในการคิดถึงมันจดจ่อกับมันก็จะสร้างการสั่นสะเทือนที่ตรงหรือใกล้เคียงกับสิ่งนั้นทำให้มันเข้ามาหาเราเรื่อยๆ
คุณคงจะจำประโยคที่คนพูดกันกันมาตลอดว่า “เกลียดสิ่งไหน มักจะได้สิ่งนั้น” ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการเสียดสีหรือตัดพ้อความไม่ยุติธรรมในชีวิตแต่มันก็มีความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ความจริงๆทั้งหมดคือ สิ่งนั้นมันเข้ามาหาคุณไม่ใช่เพราะคุณเกลียดมันหรอก แต่เป็นเพราะคุณใช้เวลา ใช้พลังงาน ครุ่นคิดถึงมันต่างหาก
กฏแรงดึงดูดไม่สนใจว่าคุณรักหรือเกลียดมัน ถ้าคุณคิดถึงมันจดจ่อกับมัน ครุ่นคิดถึงมัน ใช้พลังงานความคิดไปกับมัน สิ่งๆนั้นจะเข้ามาหาคุณแน่ ดังที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลว่า
“For the thing which I greatly feared is come upon me, and that which I was afraid of is come unto me. I was not in safety, neither had I rest, neither was I quiet; Yet trouble came”
“เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวอย่างยิ่งนั้น ได้มาถึงข้าพเจ้าแล้ว และสิ่งที่ข้าพเจ้าหวาดกลัวนั้น ได้มาถึงข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามิได้อยู่ด้วยความปลอดภัย มิได้มีการพักผ่อน มิได้อยู่นิ่งเฉย แต่ความยุ่งยากก็มา” – โยบ 3:25-26
ส่วนในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า “All that we are is result of what we have thought. The mind is everything. What we think we become” สิ่งที่เราเป็น คือ ผลพวงจากความคิดเรา ความคิดคือทุกสิ่งทุกอย่าง เราคิดอะไร เราก็จะเป็นแบบนั้น
เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเราต้องคิดถึงสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น สิ่งที่เหมือนกันดึงดูดเข้าหากัน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันทำงานในลักษณะเดียวกันสำหรับความคิดเชิงบวกหรือสร้างสรรค์ สิ่งใดก็ตามที่คุณมุ่งเน้นความตั้งใจของคุณ คุณจะดึงดูดสิ่งนั้น
ในจักรวาลที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันนี้ คุณดึงดูดสิ่งที่คุณคิด ไม่ว่าคุณจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น หากคุณกำลังพูดว่า “ใช่” กับสิ่งที่คุณต้องการ หรือหากคุณกำลังพูดว่า “ไม่” กับสิ่งนั้น คุณก็ยังคงรวมสิ่งนั้นไว้ในความคิดของคุณอยู่ดี
ผลลัพธ์สุดท้ายคือ สิ่งที่คุณ “ต้องการ” อย่างแท้จริง คุณจะได้รับ และสิ่งที่คุณ “ไม่ต้องการ” อย่างแท้จริง คุณก็จะได้รับเช่นกัน กฎแห่งแรงดึงดูดทำงานได้ดีเท่าเทียมกันสำหรับทั้งสองอย่าง
ประเด็นสำคัญคือ ยิ่งคุณต่อสู้กับสิ่งที่คุณ “ไม่” ต้องการมากเท่าไหร่ คุณยิ่งดึงดูดสิ่งนั้นเข้าหาตัวคุณเองมากขึ้นเท่านั้น เพราะคุณสร้าง “แรงต้าน” ต่อสิ่งที่คุณต้องการ มันสามารถสรุปได้ในประโยคนี้ สิ่งใดก็ตามที่คุณต่อต้านจะยังคงอยู่ต่อไป
เราถูกตั้งโปรแกรมด้วยความเชื่อที่ผิดพลาดว่าเราสามารถได้สิ่งที่เราต้องการโดยการต่อต้านหรือเอาชนะสิ่งที่เราไม่ต้องการ อย่างไรก็ตาม นั่นขัดกับกฎแห่งแรงดึงดูด
นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้ สิ่งที่คุณต่อต้านจะกลายเป็นประสบการณ์ของคุณ สิ่งที่คุณกลัวหรือกังวลจะกลายเป็นประสบการณ์ของคุณ และสิ่งที่คุณเตรียมรับมือจะกลายเป็นประสบการณ์ของคุณ
สิ่งที่เรามักจะเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ การต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บยิ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บเข้าไปอีก การรณรงค์ลดความยากจนยิ่งเป็นสาเหตุของความยากจนนั้น การต่อตความชั่วร้ายเป็นสาเหตุของการเพิ่มปริมาณของความชั่วนั้น การรณวค์ต่อต้านความรุนแรงในสังคมยิ่งเป็นเหตุของความรุนแรงนั้น
ที่เป็นแบบนั้นเพราะขณะที่คุณเตรียมตัวและปกป้องตัวเอง และรู้สึกกลัวและกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่คุณไม่ต้องการ โดยการมุ่งความสนใจไปที่มันและเพิ่มอารมณ์ให้กับความคิดของคุณ คุณกำลังดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา ยิ่งคนจำนวนมากทำในสิ่งเดียวกันนี้ก็ยิ่งดึงดูดสิ่งนั้นให้เกิดในสังคมมากขึ้น
นั่นหมายความว่ายิ่งคุณพยายามป้องกัน รณรงค์ ต่อต้าน ศึกษามัน พูดถึงมัน และป้องกันมันมากเท่าไหร่ คุณยิ่งกลัวมันมากขึ้นเท่านั้น และแรงดึงดูดก็จะยิ่งสิ่งนั้นเข้ามาเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ ถ้าคุณทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่มีความต้านทาน แม้เพียงไม่กี่นาทีด้วยการปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและยอมรับสิ่งที่คุณปรารถนา
คุณเพียงแค่ต้องผ่อนคลาย และมันจะมาหาคุณ แทนที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วยให้ผ่อนคลายและยอมรับสุขภาพที่ดี เลือกกินอาหารดีๆ ออกกำกาย หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการความคิดเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
แทนที่จะรณรงค์ต่อต้านสงครามและความรุนแรงโดยการทำแคมเปญนำเสนอผลเสียของความรุนแรงให้สนับสนุนและนำเสนอภาพและปลุกจิตสำนึกคนละด้านคือความสงบสุขสันติภาพ
แทนที่จะต่อสู้กับความยากจนหรือการมีไม่เพียงพอ ให้ผ่อนคลาย เรียนรู้เรื่องการหารายได้เพิ่ม การเพิ่มทรัพย์สินและสะสมความร่ำรวย และยอมรับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้น
หากทำกระบวนการที่ว่านี้หมายถึงไม่ต้องดิ้นรนและเหนื่อยอีกต่อไป ไม่มีความท้อแท้ สงสัย กังวล และความพ่ายแพ้อีกต่อไป แต่เป็นกระบวนการที่มั่นใจและมีความสุขในการสร้างชีวิตที่คุณต้องการ
เมื่อคุณมองเข้าไปในประสบการณ์ชีวิตของคุณเองและเห็นการขาดอะไรบางอย่าง เช่น เงิน ความสัมพันธ์ หรือสิ่งที่คุณปรารถนา จงเข้าใจว่าการขาดนั้นมีอยู่เพียงเหตุผลเดียว นั่นคือ คุณได้เลือกความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของคุณ และคุณกำลังสั่นสะเทือนหรือดึงดูดสิ่งที่คุณได้รับอย่างแท้จริง
เมื่อคุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทุกสิ่งมาหาตัวคุณอย่างไร คุณก็จะหลุดพ้นจากความกังวลและความกลัวเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นอาจทำกับคุณได้ คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ รัฐบาล พ่อแม่ และอิทธิพลอื่นๆที่คุณกลัวอีกต่อไป
เหตุผลเดียวที่คุณยังกังวลและรู้สึกกลัวคือ คุณไปมีความเชื่อว่าสิ่งที่คนอื่นกระทำหรือคิดอะไรที่ขัดต่อความต้องการของคุณแล้วมันจะส่งผลต่อคุณจริงๆ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าไม่มีอะไรที่คนอื่นทำหรือคิดแล้วจะเข้ามาทำอะไรในชีวิตคุณได้ถ้าคุณยอมรับและไม่เชิญสิ่งเหล่านั้นผ่านพลังงานแห่งความคิด ความกลัว และความกังวลของคุณ
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่คุณต้องการ นั่นคือกรอบความคิดที่คุณต้องมี กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณต้องหยุดพยายามกำจัดสิ่งที่คุณไม่ต้องการหรือทำให้คุณรู้สึกไม่ดีนั้นเสีย
สาเหตุแรกเพราะจริงๆแล้วคุณทำไม่ได้ คุณไม่สามารถทำให้คนอื่นหายไป หรือทำให้พวกเขาหยุดคิดหรือพูดถึงคุณได้ คุณไม่สามารถกำจัดผู้ก่อการร้ายออกจากโลกได้
คุณไม่สามารถกำจัดโรคภัยออกจากโลกได้ คุณไม่สามารถกำจัดสิ่งที่คุณไม่ต้องการได้ นี่คือภาพลวงตา การกำจัดสิ่งชั่วร้ายด้วยวิธีนี้มันไม่เคยได้ผลเลยตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ และจะไม่มีวันได้ผล เพราะมันละเมิดกฎแห่งแรงดึงดูด
การสร้างสิ่งที่ต้องการในใจให้เป็นความจริงอย่างรวดเร็วช่วยให้คุณค้นหาเส้นทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุดไปสู่สิ่งที่คุณต้องการ ขณะที่คุณกำลังไปถึงเส้นทางนั้นอย่างมุ่งมั่นสิ่งใดก็ตามที่มีแรงต้านอยู่ในตัวคุณจะปรากฏขึ้นมาให้คุณได้ดู
ความกลัว ความสงสัย และความไม่มั่นคงทั้งหมดของคุณจะผุดขึ้นมา นี่คือแรงต้านจากจิตใต้สำนึกของคุณ ที่อิงจากประสบการณ์ในอดีตของคุณ สิ่งที่คุณต้องทำเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นคือหันความสนใจของคุณไปในทิศทางอื่น ไปยังสิ่งที่คุณต้องการแทนที่สิ่งที่คุณไม่ต้องการหรือกลัว
เมื่อคุณเริ่มมุ่งเน้นไปที่ความปรารถนาของคุณ คุณจะเริ่มกลายเป็นเจ้าของมัน หมายความว่าคุณจะเริ่มคุมความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการได้ พูดได้ว่าโดยไม่ต้องวุ่นวายกับรายละเอียดของการสร้างความฝันให้เป็นจริงครั้งนี้ซักเท่าไหร่เพราะจักรวาลรู้ถึงแก่นแท้ของสิ่งที่คุณกำลังไขว่คว้า และกำลังมอบสิ่งที่คุณต้องการได้อย่างแท้จริง ในขณะที่คุณสามารถผ่อนคลายและปล่อยวาง
หากคุณปลูกเมล็ดพืชในสวนของคุณ คุณเองก็มั่นใจว่าคุณมีสามัญสำนึกมากพอที่จะรู้ว่าการสร้างสรรค์ของคุณกำลังดำเนินไปก่อนที่คุณจะเห็นหลักฐานทางกายภาพใดๆ
เป็นไปได้สูงที่คุณจะไม่ออกไปที่สวนของคุณแล้วเหยียบเมล็ดที่คุณปลูกแล้วดูว่ามันเริ่มงอกรากออกมาหรือยัง คุณไม่ได้กังวลเกี่ยวกับว่ารากจะงอกออกจากเมล็ดเมื่อไหร่
ตรงข้ามคุณปล่อยให้กฎธรรมชาติของจักรวาลทำงานและเมล็ดเล็ก ๆ ที่คุณปลูกก็จะเติบโตเป็นสิ่งที่คุณต้องการ
หากคุณมองดูชีวิตของคุณ คุณจะเห็นว่าคุณได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากมายแล้ว แต่อย่างไรก็ตามด้วยความใจร้อน ความกังวล หรือการขาดความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของกระบวนการสร้างสรรค์ คุณมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่คุณไม่มีหรือไม่ต้องการ และด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาจึงทำลายหรือบ่อนทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนาของคุณ
ความปรารถนาของคุณจะมาหาคุณในเวลาที่ดีที่สุด คุณสามารถมีอิทธิพลต่อเวลาที่ดีที่สุดได้โดยปล่อยความปรารถนาของคุณและพูดว่า “จักรวาลรู้ภาพรวมที่ใหญ่กว่า ฉันจะปล่อยให้มันจัดการกับช่วงเวลาของสิ่งนี้ ในระหว่างนี้ ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจดจ่อกับสิ่งที่ฉันต้องการ หรือเปิดใจรับสิ่งที่ดีกว่า!”
บางครั้งคุณอาจคิดว่าสิ่งที่คุณต้องการมีไม่เพียงพอ คุณจะไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการเพราะคนอื่นจะได้มันไปก่อนแล้ว ไม่มีอะไรเหลือให้คุณมากนัก
สิ่งที่คุณต้องตระหนักคือไม่มีการขาดแคลน หากคุณพลาดโอกาสหนึ่ง โอกาสอื่นจะเปิดขึ้น จากนั้นอีกโอกาสหนึ่ง และอีกโอกาสหนึ่ง กระแสแห่งโอกาสของคุณไม่มีวันหมด
คุณไม่จำเป็นต้องเหนื่อยตัวเองด้วยการพยายามบังคับให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น เพียงแค่ยินดีกลับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วและจักรวาลจะยายามสร้างสิ่งที่คุณต้องการให้มากขึ้น
คุณต้องรู้ว่าจักรวาลสนับสนุนคุณในทุกสิ่งที่คุณต้องการ และไม่มีสิ่งใดที่คุณสามารถระบุได้ ไม่ว่าคุณจะพูดออกมาหรือไม่ ที่จักรวาลจะไม่ให้คุณ ทุกสิ่งจะได้รับในขณะที่คุณขอและยอมรับ
เมื่อคุณเจาะจงเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการ และคุณยอมรับเส้นทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุด พลังงานจะไหลผ่านคุณไปสู่แนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจของคุณ และคุณจะแสดงสิ่งที่คุณต้องการออกมา อย่างไรก็ตาม
หากคุณต้องการมากกว่าที่คุณเชื่อว่าคุณจะทำได้ คุณจะขาดความสมดุล และหากสิ่งที่คุณยอมรับน้อยกว่าสิ่งที่คุณต้องการ คุณก็จะขาดความสมดุล ดังนั้น คุณต้องหาสมดุลของคุณ
คุณต้องรู้ เชื่อ และเข้าใจว่าคุณกำลังสร้างสิ่งที่คุณเรียกว่าอนาคตของคุณในขณะนี้ สิ่งที่คุณกำลังมองหาคือความสมดุลในความคิดของคุณ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือการอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ในขณะที่คิดถึงสิ่งที่คุณปรารถนาและคาดหวังมัน หากคุณปรารถนาและคาดหวังมัน มันจะเป็นของคุณ
หากมีสิ่งใดที่ฉันต้องการให้คุณนำไปใช้จากสิ่งนี้ นั่นคือ คุณไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ ให้จักรวาลที่เชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน (และช่วยให้เมล็ดพันธุ์เติบโต) ดูแลกระบวนการหรือรายละเอียด เมื่อคุณมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์สุดท้าย คุณจะถูกนำทางไปหาผู้คน สถานการณ์ เงื่อนไข เทคนิค หรือกลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจงใน “วิธี” ที่จะนำความปรารถนาของคุณออกมา นอกจากนี้ คุณจะ “รู้” ว่าคนเหล่านี้ สถานการณ์ เงื่อนไข เทคนิค หรือกลยุทธ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง” ด้วยวิธีที่คุณรู้สึก เพราะคุณจะรู้สึกถึงอารมณ์เชิงบวก
การสร้างความฝันให้เป็นความจริงอย่างรวดเร็วนี้คือการยอมรับว่าสิ่งที่คุณปรารถนาเป็นของคุณแล้ว “ตอนนี้” ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น “ตอนนี้” หากคุณจินตนาการหรือคิดถึงอนาคต คุณจะต้องรอนานกว่าที่จำเป็นเพื่อให้ความปรารถนาของคุณปรากฏ
สิ่งที่เทคนิคนี้ทำคือช่วยให้คุณสร้างสรรค์ใน “ตอนนี้” มันบังคับให้จิตใจของคุณอยู่ในปัจจุบันในขณะที่คุณสร้างสิ่งที่คุณต้องการ มันเป็นแบบฝึกหัดที่ “แอคทีฟ” ที่คุณจะถูกนำผ่านกระบวนการสร้างความฝันให้เป็นความจริงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันสั้น ง่าย แต่ทรงพลังอย่างยิ่ง
อ้างอิงจาก ดร.โรเบิร์ต แอนโธนี มีนักเรียนของเขาหลายต่อหลายคนที่ได้เรียนรู้เทคนิคนี้ และได้ดึงดูดทุกสิ่งที่เขาเคยต้องการอย่างรวดเร็ว หากคุณพร้อมที่จะยอมรับสิ่งที่คุณปรารถนา “ตอนนี้” การเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงอย่างรวดเร็วสามารถช่วยให้คุณดึงดูดมันได้ในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้