ทำราวกับว่าคุณเป็นเจ้าของทุกอย่างที่คุณต้องการแล้วคุณก็จะได้มันมาในที่สุด – เนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard)

บทนำสู่กฏแห่งการสมบทบาทว่าคุณได้สิ่งที่คุณต้องการแล้ว

มีพลังบางอย่างอยู่ภายในตัวคุณ พลังที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนจนมันกำหนดโครงสร้างของความเป็นจริงของคุณเอง พลังนี้ไม่ได้อยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์รอบตัวคุณ แต่มันอยู่ในจิตสำนึกที่คุณแบกรับเอาไว้ โลกที่คุณมองเห็นเป็นเพียงเงาสะท้อนของสภาวะที่คุณครอบครองอยู่ เปลี่ยนสภาวะของคุณ แล้วโลกจะต้องเปลี่ยนตาม

คุณไม่ต้องรอให้มีหลักฐาน ไม่ต้องร้องขอให้มีสัญญาณบอกใบ้ คุณแค่ “สมมติ” คุณ “เป็น” และคุณเดินไปข้างหน้าด้วยความแน่นอนว่าทุกสิ่งที่คุณปรารถนา มันเป็นของคุณอยู่แล้ว คุณไม่ได้ “หวัง” ให้ร่ำรวย ให้ได้รับความรัก หรือให้ประสบความสำเร็จ

แต่คุณ “ใช้ชีวิต” ราวกับสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของคุณอยู่แล้ว ไม่ใช่การแกล้งทำ ไม่ใช่การพยายามฝืน แต่เป็นการรู้ลึกลงไปในจิตใจ ว่าสิ่งที่คุณยืนยันในจิตสำนึก มันต้องปรากฏขึ้นเป็นความจริง

คุณไม่ต้องวิ่งไล่ตาม ไม่ต้องคว้าไขว่ ไม่ต้องรอการยืนยันจากโลกภายนอก คุณกระทำราวกับคุณมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว คุณเป็นเจ้าของมันแล้ว โลกอาจเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่โลกมองเห็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น คนที่เข้าใจกฎข้อนี้ย่อมรู้ว่า ทุกสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงเงาที่ทอดมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น

หากคุณต้องการเป็นที่รัก คุณต้องเดินไปในโลกนี้ในฐานะคนที่ได้รับความรักอยู่แล้ว คุณไม่ต้องการการยืนยันจากใคร เพราะคุณมีความแน่นอนในคุณค่าของตัวเอง หากคุณต้องการความมั่งคั่ง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องความขาดแคลน เพราะความมั่งคั่งเป็นของคุณอยู่แล้วในจิตสำนึกของคุณ คุณพูด คิด และเคลื่อนไหวในฐานะคนที่มีทุกอย่าง ไม่ใช่ด้วยความหยิ่งผยอง แต่ด้วยความมั่นใจอันเงียบสงบ เพราะคนที่ “มีอยู่แล้ว” ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไร

“ความรู้สึก” คือความลับ มันคือพลังงานที่มองไม่เห็น แต่สามารถดึงดูดทุกสิ่งให้มาอยู่ในแนวเดียวกันกับคุณ ประสาทสัมผัสของคุณอาจบอกคุณเป็นอย่างอื่น อาจกระซิบบอกถึงความขาดแคลน การไม่มี หรือข้อจำกัด แต่ประสาทสัมผัสเป็นเพียงผู้รับใช้ของจิต ไม่ใช่เจ้านายของมัน คุณไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่เห็น คุณเป็นคนกำหนดความจริงของคุณเอง และคุณยืนหยัดต่อไปจนกว่าสิ่งที่เคยมองไม่เห็น จะกลายเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

คุณได้รับทุกสิ่งที่คุณต้องการแล้ว คุณไม่ต้องรออนุญาตให้รับมัน เพียงแค่ใช้ชีวิตราวกับว่าคุณมีมันอยู่แล้ว แล้วความเป็นจริงจะต้องตามมา ความเป็นจริงของคุณเป็นเพียงเงาสะท้อนของ “สภาวะจิตสำนึก” ทุกสิ่งที่คุณเห็น พบเจอ หรือประสบในชีวิต ล้วนเป็นผลลัพธ์ตรงจากความคิด ความเชื่อ และสมมติฐานที่คุณมี โลกภายนอกไม่ได้แยกออกจากตัวคุณ แต่มันเป็นเพียงการขยายออกไปของโลกภายในของคุณเอง

เปลี่ยนวิธีที่คุณมองตัวเอง เปลี่ยนวิธีที่คุณรับรู้สถานการณ์รอบตัว แล้วโลกจะต้องเปลี่ยนตาม คุณไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ที่เฉยเมยต่อความเป็นจริง แต่คุณคือ “ผู้สร้าง” ของมัน สิ่งที่คุณยอมรับให้เป็นความจริงในจิตของคุณซ้ำ ๆ จะกลายเป็นเงื่อนไขที่คุณได้สัมผัส

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าสถานการณ์เป็นตัวกำหนดสภาวะจิตใจของพวกเขา พวกเขาปล่อยให้โลกภายนอกเป็นตัวกำหนดว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร จะตอบสนองอย่างไร และจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าพวกเขาเห็นความขาดแคลน พวกเขาก็เชื่อว่ามันมีอยู่จริง ถ้าพวกเขาถูกปฏิเสธ พวกเขาก็คิดว่าตัวเองไม่มีค่า พวกเขารอให้โลกเปลี่ยนก่อนจึงจะรู้สึกแตกต่างไป แต่นี่เป็นเพียงภาพลวงตา โลกเป็นเพียงกระจกสะท้อนสิ่งที่พวกเขาตระหนักถึงในจิตสำนึก

จิตใจเป็นต้นกำเนิด โลกภายนอกเป็นผลลัพธ์ ความผิดพลาดคือการคิดว่าผลลัพธ์สามารถเปลี่ยนต้นกำเนิดได้ หากคุณต้องการเข้าใจหลักการข้อนี้อย่างแท้จริง คุณต้องกลับด้านวิธีที่คุณใช้ชีวิต แทนที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นอยู่ คุณต้องกำหนดด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ “จะเป็น” คืออะไร โลกภายในของคุณต้องมาก่อนสภาพแวดล้อมภายนอก

ทำไมความเป็นจริงถึงสะท้อนสมมติฐานของคุณ

ทันทีที่คุณยอมรับสภาวะจิตสำนึกใหม่ว่าเป็นความจริง โลกก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่คุณมองไม่เห็น คุณไม่ต้องพยายามบังคับให้โลกเปลี่ยน คุณเพียงแค่ต้องยึดมั่นในสมมติฐานใหม่ของคุณ และความเป็นจริงจะจัดเรียงตัวเองให้สอดคล้องกับมัน

ลองนึกถึงโลกเหมือนกระจก หากคุณยืนหน้ากระจกพร้อมกับทำหน้าบึ้ง คุณไม่สามารถเรียกร้องให้เงาสะท้อนยิ้มให้คุณก่อนได้ คุณต้องเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองก่อน แล้วเงาสะท้อนจะเปลี่ยนตาม หลักการเดียวกันนี้ใช้กับชีวิต

หากคุณต้องการความมั่งคั่ง แต่ยังคงยึดติดกับความคิดว่าตัวเองขาดแคลน โลกก็จะสะท้อนความขาดแคลนกลับมาให้คุณ หากคุณต้องการเป็นที่รัก แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร คุณก็จะดึงดูดสถานการณ์ที่ยืนยันความเชื่อนั้น โลกไม่ได้ให้สิ่งที่คุณ “ต้องการ” แต่มันให้สิ่งที่คุณ “เป็น” ในจิตสำนึกของคุณ

ดังนั้น การตระหนักรู้ถึงความคิดและอารมณ์ของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทุกช่วงเวลาคุณกำลังกำหนดความเป็นจริงของตัวเองจากสิ่งที่คุณยอมรับว่าเป็นความจริง

หากคุณตื่นขึ้นมาในแต่ละวันด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ คาดหวังถึงอุปสรรค และสงสัยในพลังของตัวเอง คุณจะยังคงพบกับสถานการณ์ที่ตอกย้ำความรู้สึกนั้น แต่หากคุณเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความมั่นใจว่าคุณทรงพลัง มีคุณค่า และอุดมสมบูรณ์ โลกจะตอบสนองตามนั้น

การเพียงแค่ “หวัง” ให้มีการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงพอ คุณต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงนั้น คุณต้อง “ใช้ชีวิต” จากสมมติฐานว่าสิ่งที่คุณต้องการเป็นของคุณแล้ว ซึ่งหมายถึงการคิด รู้สึก และกระทำในฐานะคนที่มีทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ใช่การแกล้งทำ ไม่ใช่การฝืน แต่เป็นการ “เชื่อจริง ๆ” ว่าความเป็นจริงใหม่นี้คือของคุณ

ทันทีที่คุณเปลี่ยนสภาวะจิตสำนึกของตัวเอง คุณได้เริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นแล้ว โลกอาจไม่ได้เปลี่ยนทันที แต่การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นแล้ว เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ที่ไม่งอกทันทีที่ถูกหว่านลงดิน แต่ในที่สุดมันก็จะเติบโตออกมา

กุญแจสำคัญในการทำให้สิ่งใดก็ตามปรากฏขึ้นในชีวิต คือการสมมติและใช้ชีวิตในความรู้สึกของการมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว

คนส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาวะของ “การอยากได้” พวกเขามองความปรารถนาของตัวเองเป็นสิ่งที่อยู่ไกล เป็นสิ่งที่ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มา แต่ความปรารถนาที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากตัวคุณ มันก็จะยังคงเป็นเพียงแค่ “สิ่งที่อยู่นอกตัวคุณ” เท่านั้น

ความลับคือการก้าวเข้าสู่สภาวะของการมีอยู่แล้ว การเป็นอยู่แล้ว และการสัมผัสกับสิ่งที่คุณต้องการราวกับว่ามันเป็นของคุณแล้ว

คุณไม่ควรรอให้มีหลักฐานจากภายนอกก่อนจึงจะเชื่อว่าความจริงใหม่นี้เป็นของคุณ คุณต้องยืนยันมันจากภายในก่อน แล้วโลกภายนอกจะตามมาเอง ทุกสิ่งที่คุณประสบอยู่ถูกหล่อหลอมมาจากโลกภายในของคุณ—จากความเชื่อ การสมมติ และอารมณ์ของคุณ

เมื่อคุณสมมติสภาวะใดสภาวะหนึ่ง คุณจะเริ่มคิด กระทำ และรู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งนั้นเป็นจริงแล้ว และเพราะจิตสำนึกคือ “ความจริงเดียว” สิ่งที่คุณสมมติซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องจะต้องกลายเป็นประสบการณ์ทางกายภาพของคุณในที่สุด

โลกนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “ความพยายาม” เพียงอย่างเดียว แต่มันขับเคลื่อนด้วย แรงสั่นสะเทือน ความถี่ และความสอดคล้องกัน

ถ้าคุณเฝ้าโหยหาสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังยืนยันถึงการขาดสิ่งนั้น แต่เมื่อคุณใช้ชีวิตราวกับว่าคุณมีมันอยู่แล้ว คุณจะส่งสัญญาณออกไปดึงดูดมันเข้ามาหาคุณเองโดยไม่ต้องพยายาม

ลองนึกถึงคนที่มั่นใจในความมั่งคั่งของตัวเอง พวกเขาไม่หมกมุ่นอยู่กับเงินทอง ไม่ได้ตั้งคำถามว่าพวกเขาจะมีพอหรือไม่ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจเงียบ ๆ ว่าความมั่งคั่งเป็นของพวกเขา ความเชื่อมั่นภายในนี้ส่งผลต่อการกระทำ การตัดสินใจ และวิธีที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์กับโลก พวกเขาเดิน พูด และแสดงออกต่างจากคนที่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลน

หยุดตอบสนองต่อปัจจุบัน แล้วสร้างอนาคตของคุณเอง

ในทางตรงกันข้าม คนที่รู้สึกไม่มั่นคงทางการเงินมักอยู่ในสภาวะของความกังวล ความกลัว และความขาดแคลนอยู่ตลอดเวลา จิตใจของพวกเขายืนยันถึง “ความไม่พอ” อยู่เสมอ และในที่สุด โลกก็สะท้อนสิ่งนั้นกลับมาหาพวกเขา

ความแตกต่างระหว่างสองคนนี้ ไม่ใช่สถานการณ์ภายนอก แต่เป็นสภาวะภายในของพวกเขา หากคุณต้องการสมมติและใช้ชีวิตในความรู้สึกของสิ่งที่คุณต้องการ สิ่งแรกที่คุณต้องถามตัวเองคือ “ถ้าฉันมีสิ่งที่ต้องการแล้ว ฉันจะรู้สึกอย่างไร?”

นี่คือ “ประตูสู่การเปลี่ยนแปลง” เมื่อคุณระบุความรู้สึกนั้นได้แล้ว คุณต้องบ่มเพาะมันในตัวคุณจนกระทั่งมันกลายเป็นสภาวะปกติของคุณ

ถ้าคุณต้องการความรัก—จงสัมผัสความรู้สึกของการเป็นที่รักอย่างลึกซึ้ง
ถ้าคุณต้องการความสำเร็จ—จงสวมบทบาทของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว

อย่ารอหลักฐานจากภายนอก จงกระทำราวกับว่าความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้ว

หนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้คนเผชิญคือ “ความสงสัย” จิตใจที่เป็นเหตุเป็นผลต้องการเห็นหลักฐาน ต้องการคำตอบ ต้องการความแน่ใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ความเป็นจริงทำงาน

สิ่งที่มองไม่เห็น ต้องมาก่อนสิ่งที่มองเห็น

จิตสำนึกของคุณมาก่อนสถานการณ์ภายนอกของคุณ เช่นเดียวกับที่ช่างแกะสลักสามารถมองเห็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ในจินตนาการก่อนที่จะเริ่มลงมือแกะสลักก้อนหิน คุณต้องเห็นตัวเองเป็นเจ้าของสิ่งที่คุณต้องการก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นจริง

ความผิดพลาดที่หลายคนทำ คือรอให้โลกภายนอกเปลี่ยนก่อนจึงจะเปลี่ยนโลกภายในของตัวเอง

แต่กฎข้อนี้ชัดเจนมาก—สิ่งที่คุณสมมติไว้ภายใน จะต้องแสดงออกมาภายนอก

แบบฝึกหัดที่ง่ายแต่ทรงพลัง คือใช้ชีวิตทุกวันราวกับว่าความปรารถนาของคุณได้เกิดขึ้นแล้ว

  • ถ้าคุณอาศัยอยู่ในบ้านในฝันของคุณ คุณจะเดินผ่านมันอย่างไร?
  • ถ้าคุณมีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อตื่นนอนตอนเช้า?
  • ถ้าคุณประสบความสำเร็จอยู่แล้ว คุณจะทำงานด้วยความรู้สึกแบบไหน?

จงสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ในตอนนี้ แล้วโลกจะจัดเรียงตัวเองให้สอดคล้องกับมัน นี่ไม่ใช่การแกล้งทำหรือหลอกตัวเอง แต่มันคือการ “ปรับเปลี่ยนจิตสำนึกของคุณไปสู่สภาวะใหม่”

จิตใต้สำนึกไม่ได้แยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นจริงกับสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้นมา มันแค่รับเอาความประทับใจที่คุณมอบให้มัน เมื่อคุณสมมติสภาวะใหม่อย่างต่อเนื่อง จิตใต้สำนึกก็จะเริ่มยอมรับมันเป็นความจริง

นี่คือเหตุผลที่ การจินตนาการเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง

เมื่อคุณหลับตาและจินตนาการว่าคุณใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริงที่คุณต้องการ คุณจะฝากภาพนั้นไว้ในจิตใต้สำนึกของคุณ ถ้าคุณทำด้วยความรู้สึกที่แท้จริงและต่อเนื่อง ภาพนั้นจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในโลกภายนอกของคุณ

แต่อย่าลืมว่า การสมมติไม่ได้เป็นเพียงแค่การจินตนาการ แต่มันคือการใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของความปรารถนาที่ได้รับการเติมเต็มแล้ว ซึ่งหมายความว่าคุณต้องไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่คุณสมมติ ด้วยความสงสัย ความกลัว หรือความใจร้อน

หลายคนสมมติได้เพียงชั่วขณะ แล้วกลับไปสู่สภาวะเดิมของความขาดแคลน ทำให้พวกเขาทำลายสิ่งที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมา

การสมมติอย่างแท้จริง ต้องการศรัทธาและความมั่นคง

คุณต้องยึดมั่นในสภาวะใหม่ของคุณ ไม่ว่าสิ่งที่โลกภายนอกจะแสดงให้คุณเห็นในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร ลองนึกถึงเมล็ดพันธุ์ที่คุณปลูกลงในดิน คุณไม่ได้ขุดมันขึ้นมาดูทุกวันว่ามันงอกหรือยัง คุณเชื่อมั่นว่ามันกำลังเติบโต แม้ว่าคุณจะมองไม่เห็นก็ตาม

สิ่งเดียวที่คุณต้องทำ คือ “รักษาสภาวะของการมีอยู่แล้ว” และปล่อยให้โลกภายนอกจัดการรายละเอียดให้คุณเอง

ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตราวกับว่าคุณมีมันอยู่แล้ว

จงมั่นคงในสิ่งที่คุณเชื่อ เพราะสิ่งที่คุณยึดมั่นภายใน จะต้องปรากฏออกมาภายนอกเสมอ

ช่วงเวลาที่คุณสามารถ “เป็น” และ “สัมผัส” กับสิ่งที่คุณต้องการได้โดยไม่ต้องการการยืนยันจากภายนอก คือช่วงเวลาที่คุณได้ปรับตัวให้อยู่ในแนวเดียวกับมันอย่างแท้จริง คุณไม่จำเป็นต้องแสวงหา ดิ้นรน หรืออ้อนวอนเพื่อสิ่งที่เป็นของคุณอยู่แล้ว จงเดินไปข้างหน้าราวกับว่าคุณมีมันอยู่แล้ว และความจริงจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสอดคล้องกับคุณ

วิธีที่คุณคิด รู้สึก และกระทำในปัจจุบัน กำหนดทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ความจริงไม่ได้ตอบสนองต่อ “ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ” หรือ “ความต้องการชั่วคราว” แต่มันสะท้อนกลับมาจาก “สภาวะภายใน” ที่ครอบงำคุณ

หากคุณต้องการความมั่งคั่ง ความสำเร็จ หรือความรัก อย่ารอให้สถานการณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองคู่ควรหรือเต็มเปี่ยมไปด้วยมัน จงดำเนินชีวิตอยู่บน “ความเชื่อ” ว่าสิ่งที่คุณต้องการเป็นของคุณอยู่แล้ว

เมื่อคุณเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจของคนที่ได้รับในสิ่งที่ต้องการแล้ว โลกก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสะท้อนความจริงนั้นกลับมาหาคุณ

หยุดตอบสนองต่อปัจจุบัน แล้วสร้างอนาคตของคุณเอง

คนส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตโดย “ตอบสนอง” ต่อสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พวกเขามองดูสถานการณ์รอบตัว แล้วปล่อยให้มันกำหนดอารมณ์และความเชื่อของพวกเขา

  • ถ้าบัญชีธนาคารมีเงินน้อย พวกเขารู้สึกว่าตัวเองยากจน
  • ถ้ายังโสด พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า
  • ถ้างานไม่ก้าวหน้า พวกเขาสรุปว่าตัวเองไม่มีวันประสบความสำเร็จ

แต่นี่เป็นวิธีคิดที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงที่แท้จริง!

โลกภายนอกเป็นเพียงกระจกสะท้อนของโลกภายในของคุณ มันไม่ได้สร้างจิตสำนึกของคุณ แต่มันสะท้อนสิ่งที่คุณ “เชื่อ” อยู่แล้วต่างหาก

หากคุณรอให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะรู้สึกดีขึ้น คุณจะติดอยู่ในวังวนเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ชีวิตของคุณจะไม่มีวันเปลี่ยนจนกว่าคุณจะเปลี่ยนสภาวะภายในของคุณก่อน

เปลี่ยนความรู้สึกของคุณ แล้วโลกจะเปลี่ยนตาม

แทนที่จะรอให้โลกภายนอกมาบอกคุณว่า

  • คุณประสบความสำเร็จแล้ว
  • คุณมั่งคั่งแล้ว
  • คุณเป็นที่รักแล้ว

จงสร้าง “ความรู้สึก” เหล่านั้นขึ้นมาในตัวคุณเอง เดี๋ยวนี้

นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้อง “ฝืนคิดบวก” หรือ “ปฏิเสธความเป็นจริง” แต่หมายถึงการเลือกที่จะ จัดแนวความคิดและอารมณ์ของคุณให้ตรงกับตัวตนที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการแล้ว

ยิ่งคุณรักษาสภาวะนี้ไว้อย่างต่อเนื่องมากเท่าไร โลกก็จะปรับตัวให้สอดคล้องกับมันเร็วขึ้นเท่านั้น

กุญแจสำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ” จงมั่นคงในสิ่งที่คุณสมมติ แม้ว่าสิ่งที่คุณเห็นรอบตัวตอนนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม

จงคิด และกระทำเหมือนกับว่าคุณเป็นเจ้าของสิ่งที่คุณต้องการแล้ว

ลองถามตัวเองว่า…

  • ถ้าฉันมีเงินมากมาย ฉันจะคิดและกระทำอย่างไร?
  • ถ้าฉันได้รับความรักที่ลึกซึ้ง ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไร?
  • ถ้าฉันเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะทำงานแบบไหน?

คนที่ร่ำรวยแล้ว ไม่หมกมุ่นอยู่กับ “ความขาดแคลน” พวกเขาไม่กังวลกับค่าใช้จ่าย ไม่สงสัยว่าเงินจะมาหรือไม่ พวกเขาดำเนินชีวิตจากจุดยืนของ “ความมั่นคงและความอุดมสมบูรณ์”

คนที่เป็นที่รัก ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องการความรักจากใคร พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าต้องดิ้นรนเพื่อให้ใครมารัก พวกเขามีความมั่นใจในตัวเอง และมีความสงบสุขจากภายใน

คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่สงสัยในตัวเอง พวกเขามีความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง กล้าตัดสินใจ และรู้ว่าโอกาสมาหาพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

จงเป็น “คนนั้น” คนที่คุณต้องการจะเป็น ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วโลกจะสะท้อนกลับมาให้คุณ

เมื่อคุณเริ่ม “เป็น” ในสิ่งที่คุณต้องการ ก่อนที่หลักฐานภายนอกจะปรากฏ คุณได้กระตุ้นพลังที่มองไม่เห็นให้เริ่มทำงานพลังงานของคุณจะเปลี่ยน และสิ่งต่าง ๆ รอบตัวคุณจะตอบสนองต่อพลังใหม่นั้น

คุณจะไม่ต้องดิ้นรน หรือรอให้บางสิ่งมากระตุ้นให้คุณรู้สึกสมบูรณ์ คุณจะสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมาภายในตัวคุณเอง และโลกจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสะท้อนมันกลับมา

อย่าให้ความสงสัยทำลายสิ่งที่คุณได้สร้างขึ้นมา คนส่วนใหญ่เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า “ฉันจะเชื่อก็ต่อเมื่อฉันเห็นมัน” พวกเขาเชื่อในข้อจำกัดของโลกทางกายภาพมากกว่าพลังของจิตสำนึก

แต่ความจริงคือ…สิ่งที่คุณเห็นในวันนี้ เป็นเพียงผลลัพธ์ของความคิดและความเชื่อในอดีต ถ้าคุณยังคง “ตอบสนอง” ต่อสถานการณ์ปัจจุบัน คุณจะสร้างสิ่งเดิมขึ้นมาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ คือการเริ่ม “เชื่อ” ในสิ่งที่คุณยังมองไม่เห็น

ศรัทธาและความเพียร คือพลังแห่งการสร้างความจริง

หนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ “ความสงสัย” จิตใจที่เป็นเหตุเป็นผลต้องการหลักฐาน ต้องการความแน่ใจ แต่การดึงดูดสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักฐาน แต่มันขึ้นอยู่กับ “ศรัทธาและความต่อเนื่อง”

ลองคิดถึงเมล็ดพันธุ์ที่คุณปลูกลงดิน ถ้าคุณขุดมันขึ้นมาดูทุกวันว่ามันเติบโตหรือยัง คุณจะทำลายกระบวนการเติบโตของมันเอง

ความปรารถนาของคุณก็เช่นเดียวกัน เมื่อคุณสมมติว่าคุณมีมันอยู่แล้ว คุณต้องเชื่อมั่นว่ามันกำลังเกิดขึ้น แม้ว่าตอนนี้คุณจะยังไม่เห็นมันก็ตาม

คุณไม่จำเป็นต้องกังวลว่า “มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” วิธีการนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ จักรวาลจะจัดการให้เองผ่านเหตุการณ์ที่ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว ทุกอย่างจะลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ

ยิ่งคุณพยายามบังคับหรือควบคุมกระบวนการมากเท่าไร คุณก็ยิ่งสร้างแรงต้านมากขึ้นเท่านั้น ปล่อยวางความต้องการที่จะเข้าใจทุกอย่าง สมมติว่าความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ในตัวคุณ และปล่อยให้ความเป็นจริงตามทัน

วิธีปฏิบัติที่ทรงพลังคือการเริ่มต้นแต่ละวันเหมือนกับว่าความปรารถนาของคุณสำเร็จแล้ว ก่อนที่คุณจะก้าวออกจากเตียง ใช้เวลาสักครู่เพื่อรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุณจะรู้สึกหากสิ่งที่คุณต้องการเป็นจริงแล้ว เดินผ่านวันของคุณด้วยความมั่นใจ ความสุข และความสบายใจของคนที่มีสิ่งที่พวกเขาแสวงหาอยู่แล้ว พูด ทำ และคิดเหมือนกับว่าคุณกำลังใช้ชีวิตในความเป็นจริงนั้นแล้ว

นี่ไม่ใช่เรื่องของการแกล้งทำหรือหลอกตัวเอง แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนสภาวะภายในของคุณอย่างสมบูรณ์จนโลกต้องปรับตัวตาม ลองนึกถึงนักแสดงที่ดำดิ่งลงไปในบทบาทอย่างเต็มที่

พวกเขาไม่ได้แค่ท่องบทแต่กลายเป็นตัวละครนั้น ความคิด อารมณ์ และกิริยาของพวกเขาสอดคล้องกับบทบาทที่พวกเขากำลังแสดง และในการทำเช่นนั้น พวกเขาทำให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมา ในทำนองเดียวกัน คุณต้องเป็นเวอร์ชันของตัวเองที่มีสิ่งที่คุณปรารถนาแล้วอย่างเต็มที่ เมื่อนี่กลายเป็นสภาวะหลักของคุณ การแสดงออกมาเป็นจริงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

ความอดทนและความมุ่งมั่นเป็นกุญแจสำคัญ หลายคนยอมแพ้เร็วเกินไปเพราะพวกเขาไม่เห็นผลลัพธ์ทันที พวกเขาคิดว่าเพราะดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิว สมมติฐานของพวกเขาจึงไม่ได้ผล แต่เหมือนกับที่เมล็ดพืชเติบโตอยู่ใต้ดินก่อนที่จะงอกขึ้นมาให้เห็น

ความเป็นจริงใหม่ของคุณกำลังก่อตัวขึ้นแม้ว่าคุณจะมองไม่เห็นก็ตาม เวลาที่มันจะปรากฏขึ้นมาขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณที่จะยังคงซื่อสัตย์ต่อสมมติฐานของคุณ ถ้าคุณโอนเอนระหว่างความเชื่อและความสงสัย คุณก็จะทำให้กระบวนการล่าช้าออกไป แต่ถ้าคุณยืนหยัดอย่างมั่นคง ปฏิเสธที่จะเก็บความคิดเรื่องความล้มเหลวหรือความขาดแคลนไว้ ความเป็นจริงใหม่ของคุณจะปรากฏในรูปแบบที่เกินความคาดหมายของคุณ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการปล่อยวางจากความต้องการให้ความปรารถนาของคุณเกิดขึ้นในรูปแบบเฉพาะ

จักรวาลมีความสามารถไร้ขีดจำกัดในการนำสมมติฐานของคุณมาเป็นรูปเป็นร่าง ถ้าคุณยึดติดกับผลลัพธ์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณอาจปิดกั้นความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่กว่า ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของคุณ แต่เปิดใจรับวิธีการนับไม่ถ้วนที่มันจะเกิดขึ้น ความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่รายละเอียดเฉพาะของวิธีที่มันมาถึง

ในช่วงเวลาที่คุณหยุดมองหาการยืนยันจากภายนอกและเริ่มสร้างความรู้สึกจากภายใน คุณเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะของพลังที่แท้จริง คุณไม่ต้องไล่ตาม พยายาม หรือดิ้นรนอีกต่อไป คุณเพียงแค่ใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับว่าความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้ว โดยรู้ว่าความเป็นจริงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะสะท้อนความจริงนั้นกลับมาหาคุณ

ทุกประสบการณ์ในชีวิตคือการสะท้อนของโลกภายในของคุณ ความคิดที่คุณเก็บไว้ อารมณ์ที่คุณหมกมุ่น และสมมติฐานที่คุณยึดถือล้วนสร้างความเป็นจริงที่คุณอาศัยอยู่ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณขาดแคลน ถ้าคุณมองตัวเองเป็นคนที่ดิ้นรนตลอดเวลา

ชีวิตก็จะให้สถานการณ์ที่ยืนยันความเชื่อนั้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณเดินผ่านโลกโดยรู้สึกไร้ค่า ผู้คนก็จะสะท้อนสิ่งนั้นกลับมาหาคุณ ถ้าคุณมีสมมติฐานว่าสิ่งต่างๆ ไม่เคยเป็นไปด้วยดีสำหรับคุณ คุณก็จะพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะของความคับข้องใจอยู่ตลอดเวลา คุณมักจะใช้ชีวิตอยู่ในการสะท้อนของสิ่งที่คุณสมมติว่าเป็นความจริงเกี่ยวกับตัวคุณเองและโลก

กุญแจสู่การเปลี่ยนแปลงคือการตระหนักว่าสมมติฐานของคุณไม่ใช่ความคิดเฉยๆ

แต่เป็นพลังสร้างสรรค์ที่กำลังหล่อหลอมการเอาชนะความสงสัยและความกลัว

เนื้อแท้ของประสบการณ์ของคุณ ถ้าคุณสมมติว่าคุณมีความอุดมสมบูรณ์ ชีวิตก็จะตอบสนองด้วยความอุดมสมบูรณ์ ถ้าคุณสมมติว่าคุณเป็นที่รัก คุณก็จะพบความรักในวิถีทางที่ไม่คาดคิด ถ้าคุณสมมติว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เส้นทางสู่ความสำเร็จก็จะปรากฏขึ้นตรงหน้าคุณ มักจะเป็นในรูปแบบที่คุณไม่เคยวางแผนไว้ มันไม่ใช่เรื่องของการหวังหรือการภาวนา แต่เป็นเรื่องของการรู้

สมมติฐานคือการยอมรับบางสิ่งว่าเป็นความจริงก่อนที่มันจะปรากฏในโลกทางกายภาพ มันคือความเชื่อที่ไม่หวั่นไหวว่าสิ่งที่คุณปรารถนาเป็นของคุณแล้ว แม้ว่าประสาทสัมผัสของคุณจะยังตามไม่ทัน คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ตามหลักฐานของประสาทสัมผัส พวกเขามองที่บัญชีธนาคาร ความสัมพันธ์ หรือสถานการณ์ของพวกเขา และใช้สิ่งที่พวกเขาเห็นเพื่อกำหนดสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่ความเป็นจริงไม่ได้ทำงานแบบนั้น

โลกภายนอกเป็นการสะท้อนที่ล่าช้าของโลกภายใน ความคิดที่คุณมีเมื่อวาน อารมณ์ที่คุณจมอยู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และความเชื่อที่คุณมีเมื่อเดือนที่แล้วกำลังหล่อหลอมประสบการณ์ปัจจุบันของคุณ ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณเห็น คุณต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณสมมติว่าเป็นความจริงก่อน นี่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนในวิธีที่คุณใช้ชีวิต

คุณไม่สามารถทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเฉยเมยที่เพียงแค่ตอบสนองต่อสถานการณ์ตามที่ปรากฏอีกต่อไป คุณต้องควบคุมโลกภายในของคุณและตัดสินใจด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณปรารถนาเป็นของคุณแล้ว

สมมติมันอย่างกล้าหาญเดินผ่านชีวิตเหมือนกับว่าความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้ว รู้สึกถึงความสุข ความโล่งอก ความตื่นเต้นที่คุณจะรู้สึกถ้าคุณมีมันตอนนี้ อย่ามองหาการยืนยันจากโลกภายนอก ให้สมมติฐานของคุณเพียงพอ

นี่ไม่ได้หมายความว่าเพิกเฉยต่อความเป็นจริงหรือแกล้งทำว่ามีบางสิ่งอยู่เมื่อมันไม่มี มันหมายถึงการเข้าใจว่าความเป็นจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้ ปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ตรงกับสภาวะหลักของคุณ คุณไม่ได้ถูกผูกมัดโดยสิ่งที่เป็นอยู่ คุณถูกผูกมัดเพียงแค่โดยสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นไปได้

ถ้าคุณสมมติความขาดแคลน คุณก็จะเห็นความขาดแคลน ถ้าคุณสมมติความมั่งคั่ง คุณก็จะเห็นความมั่งคั่ง ถ้าคุณสมมติสุขภาพดี คุณก็จะเห็นสุขภาพดี ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยสมมติฐาน

ลองพิจารณาคนที่ปรารถนาอิสรภาพทางการเงินแต่กังวลเรื่องเงินตลอดเวลา พวกเขาอาจทำงานหนักเพื่อตั้งเป้าหมายและลงมือทำ แต่ถ้าสมมติฐานหลักของพวกเขาคือเงินมีจำกัด พวกเขาก็จะยังคงดิ้นรนต่อไป การกระทำของพวกเขาอาจเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่สภาวะภายในของพวกเขาขัดแย้งกับความปรารถนา โลกภายนอกไม่ได้ตอบสนองต่อความพยายามเพียงอย่างเดียว มันตอบสนองต่อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังความพยายาม

ถ้าคนๆ นี้เปลี่ยนสมมติฐานและเริ่มเชื่ออย่างแน่นอนว่าพวกเขามีความอุดมสมบูรณ์ทางการเงิน พวกเขาจะเริ่มเห็นหลักฐานของความเชื่อนั้น โอกาสใหม่ๆ จะเกิดขึ้น แหล่งรายได้ที่ไม่คาดคิดจะปรากฏ และพวกเขาจะเริ่มประสบกับความมั่งคั่งที่พวกเขาสมมติว่าเป็นของพวกเขา

หลักการเดียวกันนี้ใช้กับความสัมพันธ์ ถ้าใครบางคนเชื่อลึกๆ ว่าพวกเขาไม่มีค่าควรแก่ความรัก พวกเขาจะดึงดูดความสัมพันธ์ที่ยืนยันความเชื่อนั้น พวกเขาอาจพบคนที่ปฏิบัติกับพวกเขาไม่ดี ที่ไม่เปิดใจทางอารมณ์ หรือที่เสริมความรู้สึกถูกปฏิเสธ แต่ถ้าพวกเขาเปลี่ยนสมมติฐานและเริ่มมองตัวเองว่าเป็นที่รักและทะนุถนอม โลกภายนอกก็ต้องสะท้อนสมมติฐานใหม่นั้น พวกเขาจะพบคนที่เคารพ ชื่นชม และหลงรักพวกเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาเปลี่ยนโลกภายนอก แต่เพราะพวกเขาเปลี่ยนโลกภายใน

นี่คือเหตุผลที่สมมติฐานเป็นรากฐานของการแสดงผลทั้งหมด ไม่สำคัญว่าคุณลงมือทำมากแค่ไหนหรือคุณพูดคำยืนยัน (affirmations) ซ้ำๆ กี่ครั้ง ถ้าสมมติฐานหลักของคุณขัดแย้งกับความปรารถนาของคุณ คุณจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน จิตใต้สำนึกของคุณยอมรับสิ่งที่คุณสมมติว่าเป็นจริง และมันจัดเรียงความเป็นจริงใหม่ให้สอดคล้องกัน

นี่คือเหตุผลที่บางคนดูเหมือนดึงดูดความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่คนอื่นดิ้นรนมาหลายปีโดยไม่มีผลลัพธ์ มันไม่ใช่โชค มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันคือสมมติฐาน คนที่ประสบความสำเร็จสมมติว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ และพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ คนที่ล้มเหลวสมมติว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันก็เป็นเช่นนั้น

ความสงสัยเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสมมติฐาน ในขณะที่คุณตั้งคำถามว่าความปรารถนาของคุณเป็นไปได้หรือไม่ คุณก็สร้างแรงต้านขึ้น ความสงสัยเป็นสมมติฐานในตัวมันเอง เป็นสมมติฐานว่าสิ่งที่คุณต้องการอาจไม่เกิดขึ้น

จิตใจจะพยายามนำเสนอเหตุผลว่าทำไมสมมติฐานของคุณจึงไม่สมจริง มันจะเตือนคุณถึงความล้มเหลวในอดีต ชี้ให้เห็นอุปสรรค และยืนยันว่าความเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ แต่จิตใจเพียงแค่กำลังทวนซ้ำสิ่งที่มันถูกปรุงแต่งให้เชื่อ ความจริงก็คือความเป็นจริงสามารถหล่อหลอมได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่ตระหนัก มันถูกหล่อหลอมอยู่ตลอดเวลาโดยสมมติฐานที่คุณยึดถือ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

วิธีที่จะเป็นนายของสมมติฐาน คุณต้องเรียนรู้ที่จะยืนหยัด คุณต้องยึดมั่นในความเชื่อของคุณแม้ว่าโลกภายนอกยังไม่เปลี่ยนแปลง คุณต้องไม่หวั่นไหวในความเชื่อมั่นของคุณ โดยรู้ว่าสมมติฐานของคุณเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่ประสาทสัมผัสของคุณบอก

ถ้าคุณสมมติความมั่งคั่ง อย่าปล่อยให้ปัญหาทางการเงินชั่วคราวทำให้ความเชื่อของคุณสั่นคลอน ถ้าคุณสมมติความรัก อย่าให้การทะเลาะหรือช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวทำให้คุณสงสัย ถ้าคุณสมมติความสำเร็จ อย่าให้ความล้มเหลวชั่วคราวทำให้คุณเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเสียงสะท้อนของสมมติฐานในอดีตที่กำลังแสดงผล ยืนหยัดในความเชื่อใหม่ของคุณ และโลกก็ต้องปรับตัวตาม

หนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเสริมสร้างสมมติฐานคือการกระทำที่สอดคล้องกับมัน ถ้าคุณสมมติว่าคุณร่ำรวย

แสดงตัวคุณด้วยความมั่นใจของคนที่มีความมั่นคงทางการเงิน ถ้าคุณสมมติว่าคุณเป็นที่รัก ก็เคลื่อนไหวไปในโลกด้วยความมั่นใจของคนที่ได้รับความทะนุถนอม ถ้าคุณสมมติความสำเร็จ ก็ลงมือทำเหมือนกับความสำเร็จเป็นของคุณแล้ว

นี่ไม่ได้หมายถึงการใช้จ่ายอย่างไม่ยั้งคิด ความหยิ่งยโส หรือความเชื่อแบบไร้เหตุผล มันหมายถึงการจัดเรียงความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของคุณให้สอดคล้องกับเวอร์ชันของตัวคุณที่มีสิ่งที่คุณแสวงหาอยู่แล้ว ยิ่งคุณแสดงออกถึงสมมติฐานมากเท่าไร มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเป็นความจริงเร็วเท่านั้น

ในตอนแรก มันอาจรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ จิตใจอาจต่อต้าน เสนอเหตุผลว่าทำไมสมมติฐานของคุณจึงไม่สมจริง แต่อย่าท้อใจ นี่เป็นเพียงแค่โปรแกรมเก่าที่กำลังต่อสู้เพื่อรักษาการควบคุม กุญแจสำคัญคือความมุ่งมั่น ยังคงสมมติต่อไป ยังคงรู้สึกต่อไป ยังคงเชื่อต่อไป และในที่สุดจิตใจจะยอมรับความเป็นจริงใหม่เป็นข้อเท็จจริง และเมื่อมันทำเช่นนั้น โลกก็จะเปลี่ยนแปลงเพื่อสะท้อนมัน

ไม่มีพลังใดภายนอกตัวคุณที่กำหนดว่าคุณจะมีหรือไม่มีอะไร คุณคือผู้สร้างประสบการณ์ของคุณ หล่อหลอมความเป็นจริงผ่านสมมติฐานที่คุณยึดถือ ถ้าคุณต้องการบางสิ่ง สมมติว่ามันเป็นของคุณแล้ว มีชีวิตอยู่ในสมมติฐานนั้น หายใจในมัน รู้สึกถึงมัน เดินไปในมัน โลกไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดเรียงตัวเองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่คุณสมมติว่าเป็นจริง

ทุกอย่างในชีวิตของคุณเป็นการสะท้อนของสภาวะที่คุณยืนหยัดสมมติว่าเป็นจริง คุณไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสมมติฐานของคุณได้ เพราะพวกมันกำหนดสิ่งที่คุณประสบ โลกที่คุณเห็น สถานการณ์ที่คุณเผชิญ และผู้คนที่คุณมีปฏิสัมพันธ์ด้วยล้วนถูกหล่อหลอมโดยความเชื่อหลักที่คุณยึดถือ เมื่อคุณยืนหยัดในสมมติฐานใดๆ ความเป็นจริงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะปรับตัวตาม

กุญแจสำคัญคือการเข้าใจว่ากระบวนการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที มันต้องอาศัยความเชื่อ ความอดทน และความมุ่งมั่นที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่คุณเลือกที่จะเชื่อ คนส่วนใหญ่โอนเอนในสมมติฐานของตน พวกเขาอาจเชื่อในความอุดมสมบูรณ์ชั่วขณะหนึ่ง

แต่ทันทีที่พวกเขาตรวจสอบบัญชีธนาคารและเห็นตัวเลขที่ขัดแย้งกับสมมติฐานของพวกเขา พวกเขาก็กลับไปสู่ความเชื่อเก่าในความขาดแคลน พวกเขาอาจสมมติว่าพวกเขาเป็นที่รัก แต่ในขณะที่พวกเขาเผชิญกับการปฏิเสธหรือความโดดเดี่ยว พวกเขาก็เริ่มสงสัยในคุณค่าของตนเอง

นี่คือเหตุผลที่หลายคนไม่เคยเห็นการเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขา พวกเขาไม่ยืนหยัด พวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกกำหนดโลกภายในของพวกเขา แทนที่จะยึดมั่นในสมมติฐานที่พวกเขาเลือก

ความเป็นจริงโอนอ่อนตามความมุ่งมั่น ไม่ใช่ตามความคิดที่ผ่านมาแล้วหรือคำยืนยันชั่วขณะ โลกไม่เปลี่ยนแปลงเพราะคุณเพียงแค่ปรารถนาให้มันเปลี่ยน มันเปลี่ยนเพราะคุณยืนหยัดในความเชื่อมั่นว่ามันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

นี่คือความลับที่หลายคนมองข้าม เมื่อคุณสมมติบางสิ่งและยึดมั่นในมันโดยไม่ปล่อยให้ความสงสัยแทรกซึมเข้ามาในความคิด โครงสร้างทั้งหมดของความเป็นจริงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนอง คนที่คุณพบ โอกาสที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์ที่คลี่คลายล้วนเริ่มจัดเรียงตัวเองให้สอดคล้องกับสภาวะที่คุณอ้างว่าเป็นของคุณ แต่คุณต้องยืนหยัดในสมมติฐานนั้นไม่ว่าประสาทสัมผัสของคุณจะบอกอะไร

คนส่วนใหญ่ปล่อยให้สถานการณ์กำหนดความเชื่อของพวกเขา ถ้าพวกเขาเห็นหลักฐานของความล้มเหลว พวกเขาก็สมมติว่าพวกเขากำลังล้มเหลว ถ้าพวกเขาเห็นการขาดความก้าวหน้า พวกเขาก็สมมติว่าความพยายามของพวกเขาสูญเปล่า

แต่โลกภายนอกเป็นเพียงการสะท้อนของสมมติฐานในอดีต และถ้าคุณยังคงตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นอยู่ คุณก็จะยังคงสร้างสิ่งเดิมมากขึ้น คุณต้องทำลายวงจรโดยยืนหยัดในสมมติฐานใหม่ แม้จะไม่มีหลักฐานที่มองเห็นได้ที่สนับสนุนมันก็ตาม คุณต้องเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยรู้ว่าสิ่งที่คุณสมมติกำลังก่อร่างขึ้นใต้พื้นผิว

ไม่มีพลังใดในโลกภายนอกที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังภายในตัวคุณ ทุกสิ่งที่คุณเห็นรอบตัวคุณเคยเป็นสมมติฐานที่มองไม่เห็นมาก่อน ทุกเรื่องราวความสำเร็จ ทุกความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ทุกการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์

เริ่มต้นด้วยบุคคลที่กล้าที่จะยืนหยัดในวิสัยทัศน์ของพวกเขา แม้จะไม่มีหลักฐานสนับสนุนก็ตาม พวกเขามีชีวิตอยู่เหมือนกับว่ามันเป็นจริงอยู่แล้ว และโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาเรียกมันให้มีตัวตนขึ้น คุณต้องทำเช่นเดียวกัน

ความสงสัยเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความมุ่งมั่น

ความสงสัยเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความมุ่งมั่น ในขณะที่คุณปล่อยให้ความสงสัยหยั่งราก คุณก็สร้างแรงต้านเข้าไปในการสร้างสรรค์ของคุณ จิตใจจะพยายามตั้งคำถาม วิเคราะห์ และหาเหตุผล

มันจะมองไปที่โลกภายนอกและชี้ให้เห็นทุกเหตุผลว่าทำไมสมมติฐานของคุณจึงเป็นไปไม่ได้ มันจะเตือนคุณถึงความล้มเหลวในอดีต เน้นย้ำอุปสรรค และยืนยันว่าความเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ แต่จิตใจเพียงแค่สะท้อนการปรุงแต่งเก่าๆ ถ้าคุณฟังมัน คุณจะยังคงติดอยู่ในวงจรเดิม คุณต้องฝึกตัวเองให้ยืนหยัดเหนือความสงสัย

เมื่อความคิดเชิงลบเกิดขึ้นอย่าสนใจมัน เมื่อสถานการณ์ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสมมติฐานของคุณ เตือนตัวเองว่าพวกมันเป็นเพียงเสียงสะท้อนชั่วคราวของความเชื่อในอดีต ยึดมั่นในสมมติฐานใหม่ของคุณเหมือนกับว่าชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับมัน พูดมัน คิดมัน รู้สึกมัน เป็นมัน อย่าปล่อยให้อะไรทำให้ความเชื่อมั่นของคุณสั่นคลอน ถ้าคุณยืนหยัด ความเป็นจริงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนแปลง

เหตุผลที่หลายคนล้มเหลวในการทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงก็คือพวกเขายอมแพ้เร็วเกินไป พวกเขาสมมติบางสิ่งเป็นเวลาหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหนึ่งเดือน แต่เมื่อพวกเขาไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที

พวกเขาก็ละทิ้งความเชื่อของตน พวกเขากลับไปสู่สมมติฐานเก่า เสริมแรงสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เดิม แต่ความจริงก็คือ ขณะที่คุณสมมติบางสิ่งด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่หวั่นไหว มันก็สำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้การปรากฏของมันล่าช้าคือความเชื่อที่โอนเอนของคุณเอง

ลองพิจารณากระบวนการปลูกเมล็ดพืช เมื่อคุณปลูกเมล็ดในดิน คุณไม่ได้ขุดมันขึ้นมาทุกวันเพื่อตรวจสอบว่ามันกำลังเติบโตหรือไม่ คุณเชื่อว่าใต้พื้นผิว พลังที่มองไม่เห็นกำลังทำงานอยู่ คุณรดน้ำ ดูแล และให้เวลามันเติบโต

ถ้าคุณถอนรากมันทุกครั้งที่ความสงสัยแทรกซึม มันก็จะไม่มีโอกาสหยั่งราก หลักการเดียวกันนี้ใช้กับสมมติฐาน เมื่อคุณปลูกเมล็ดแห่งความเชื่อ คุณต้องบำรุงเลี้ยงมันด้วยความมุ่งมั่น เชื่อว่ามันจะปรากฏในเวลาที่เหมาะสมของมัน

ไม่มีอะไรในจักรวาลที่สามารถปฏิเสธคุณในสิ่งที่คุณสมมติตัวเองได้สิ่งที่ต้องการแล้วด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่

ไม่มีอะไรในจักรวาลที่สามารถปฏิเสธคุณในสิ่งที่คุณสมมติด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ความเป็นจริงไม่ได้แยกจากคุณ มันถูกสร้างโดยคุณ ถ้าคุณยืนหยัดในสมมติฐานว่าคุณร่ำรวย

โลกจะเคลื่อนไหวในรูปแบบที่เกินความเข้าใจของคุณ เพื่อนำความมั่งคั่งมาสู่คุณ หากคุณยังคงมั่นคงในความเชื่อที่ว่าคุณเป็นที่รัก ความรักจะหาทางมาหาคุณไม่ว่าจะผ่านประสบการณ์ในอดีตแบบไหนมา หากคุณยืนหยัดในความเชื่อแห่งความสำเร็จ โอกาสต่างๆ จะเกิดขึ้น ประตูจะเปิด และสถานการณ์จะเรียงตัวเพื่อทำให้ความเชื่อนั้นเป็นจริง แต่คุณต้องยังคงศรัทธาในสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น

คุณไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยเวลา โลกภายนอกต้องใช้เวลาในการตามทันโลกภายในของคุณ แต่ในขณะที่คุณเชื่อมั่นในบางสิ่ง มันก็เป็นจริงแล้ว คุณอาจจะยังไม่เห็นหลักฐานในทันที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้กำลังเคลื่อนไหว ทุกสิ่งที่คุณเชื่อมั่นด้วยความแน่วแน่ได้เริ่มต้นขับเคลื่อนแล้ว กำลังทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อจัดเรียงตัวเองให้สอดคล้องกับความเชื่อของคุณ งานเดียวของคุณคือการยืนหยัดจนกว่าโลกทางกายภาพจะสะท้อนสิ่งที่คุณได้อ้างสิทธิ์ไว้ภายใน

จิตใจอาจพยายามทำให้คุณเชื่อว่าคุณกำลังโกหกตัวเอง ว่าคุณหลงผิดที่เชื่อในบางสิ่งที่ยังมองไม่เห็น แต่ความจริงเองก็เป็นเพียงภาพลวงที่ถูกกำหนดโดยความเชื่อที่คุณยึดถือ ในขณะที่คุณซึมซับความเชื่อนั้นอย่างเต็มที่ ภาพลวงก็จะเปลี่ยนไปเพื่อให้สอดคล้องกับมัน สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้จะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่มีเทคนิคลับ ไม่มีพลังภายนอกที่คุณต้องแสวงหา สิ่งเดียวที่จำเป็นคือความยืนหยัด

  • อย่ามองหาการยืนยันจากโลกภายนอก
  • อย่าแสวงหาการยอมรับจากผู้อื่น
  • อย่าสั่นคลอนเมื่อความสงสัยเกิดขึ้น

เพียงแค่ยืนหยัด ยืนหยัดในความรู้สึกว่าคุณมีสิ่งที่คุณปรารถนาแล้ว ยืนหยัดในความเชื่อว่ามันเป็นของคุณแล้ว ยืนหยัดจนกว่ามันจะกลายเป็นธรรมชาติจนคุณไม่สงสัยมันอีกต่อไป และเมื่อคุณทำเช่นนั้น ความเป็นจริงจะโอนอ่อนต่อความเชื่อของคุณ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสะท้อนสิ่งที่คุณยืนยันว่าเป็นความจริงอย่างแน่วแน่

ความเป็นจริงถูกกำหนดโดยความเชื่อที่คุณยืนหยัด และเมื่อคุณทุ่มเทให้กับความคิดอย่างเต็มที่ โลกภายนอกก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะปรับตัวตาม ในขณะที่คุณตัดสินใจว่าบางสิ่งเป็นของคุณและปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อนั้น

จักรวาลจะจัดระเบียบตัวเองใหม่เพื่อนำความเชื่อของคุณมาสู่ความเป็นจริงทางกายภาพ พลังในการกำหนดโลกของคุณไม่ได้อยู่ที่ความพยายาม การต่อสู้ หรือการกระทำภายนอก แต่อยู่ที่ความยืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอนในความเชื่อของคุณ

คนส่วนใหญ่ปล่อยให้ความเชื่อของพวกเขาถูกกำหนดโดยสิ่งที่พวกเขาเห็น ได้ยิน และประสบ พวกเขามองดูบัญชีธนาคารและเชื่อว่าขาดแคลน พวกเขาสังเกตความสัมพันธ์และเชื่อว่าโดดเดี่ยว พวกเขาประเมินความก้าวหน้าและเชื่อว่าล้มเหลว

แต่สภาพเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเพียงการสะท้อนของความเชื่อในอดีต ไม่ใช่ความจริงที่ตายตัว หากคุณยังคงตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นอยู่ คุณจะเพียงแต่เสริมมันให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ถ้าคุณเลือกที่จะยืนหยัดในความเชื่อใหม่ แม้ว่าประสาทสัมผัสของคุณจะบอกคุณอย่างไร คุณเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของความเป็นจริงของคุณ

ไม่มีพลังใดภายนอกตัวคุณที่กำหนดว่าคุณสามารถหรือไม่สามารถมีอะไรได้

ไม่มีพลังใดภายนอกตัวคุณที่กำหนดว่าคุณสามารถหรือไม่สามารถมีอะไรได้ ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือความเต็มใจของคุณที่จะยืนหยัด ทุกคนที่เคยประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เอาชนะความยากลำบาก หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาล้วนทำเช่นนั้นโดยการยึดมั่นอย่างมั่นคงในวิสัยทัศน์ภายใน

พวกเขาไม่ปล่อยให้อุปสรรคชั่วคราวทำให้ท้อแท้ พวกเขาไม่ยอมให้ความสงสัยฝังราก พวกเขายืนหยัดในความเชื่อของตนแม้ว่าทุกสิ่งรอบตัวพวกเขาดูเหมือนจะขัดแย้งกัน และในที่สุด ความเป็นจริงก็ยอมจำนนต่อความเชื่อของพวกเขา

ความเชื่อของคุณเหมือนเมล็ดพืชที่ปลูกในดินแห่งจิตสำนึก ถ้าคุณปลูกเมล็ดแล้วขุดมันขึ้นมาตรวจสอบเสมอว่ามันกำลังเติบโตหรือไม่ คุณจะเพียงแต่ขัดขวางความก้าวหน้าของมัน ในทำนองเดียวกัน ถ้าคุณเชื่อในบางสิ่ง แล้วสงสัย ตั้งคำถาม หรือแสวงหาการยืนยันจากภายนอก คุณจะขัดขวางกระบวนการตามธรรมชาติของการแสดงออกของมัน กุญแจสำคัญคือการยืนหยัดโดยไม่สั่นคลอน ที่จะยึดความเชื่ออย่างมั่นคงในจิตใจจนกลายเป็นความจริงที่โดดเด่นของคุณ แม้แต่ก่อนที่โลกภายนอกจะยืนยันก็ตาม

คนส่วนใหญ่ประเมินพลังของความเชื่อของพวกเขาต่ำเกินไป เพราะพวกเขาคาดหวังผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทันที พวกเขาเชื่อบางสิ่งเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน และเมื่อไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็กลับไปสู่วิธีคิดแบบเดิม แต่ความเป็นจริงทำงานกับความล่าช้า มีช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นก่อนที่การแสดงออกทางกายภาพจะปรากฏ สิ่งเดียวที่จำเป็นในช่วงนี้คือความยืนหยัด

ลองนึกถึงประติมากรที่กำลังทำงานกับก้อนหินอ่อน ในตอนแรก ก้อนหินดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลง ประติมากรยังคงสลัก ขัดเกลา และกำหนดรูปร่าง แม้ว่ารูปแบบสุดท้ายจะยังมองไม่เห็นก็ตาม ถ้าประติมากรยอมแพ้หลังจากการลงมือทำครั้งแรกไม่กี่ครั้ง

ผลงานชิ้นเอกก็จะไม่มีวันปรากฏ ความจริงของความเชื่อของคุณก็เป็นเช่นเดียวกัน คุณต้องยังคงยึดมั่นแม้ว่าจะไม่มีสัญญาณของความก้าวหน้าที่มองเห็นได้ ทุกขณะที่คุณยืนหยัด คุณกำลังกำหนดพลังที่มองไม่เห็นของความเป็นจริง

ไม่มีพลังใดในการดำรงอยู่ที่ยิ่งใหญ่กว่าความยืนหยัดของความเชื่อ ทุกสิ่งที่คุณปรารถนาได้ดำรงอยู่แล้วในสถานะของศักยภาพ สิ่งเดียวที่แยกคุณออกจากมันคือความสามารถของคุณที่จะเชื่อว่ามันเป็นของคุณแล้ว

คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องบังคับให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง งานเดียวของคุณคือการยืนหยัดในความเชื่อจนกว่ามันจะกลายเป็นความจริงในจิตใจของคุณมากเสียจนโลกภายนอกไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสะท้อนมัน

ความสงสัยคือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้การแสดงออกของคุณล่าช้าหรือปฏิเสธได้ ในขณะที่คุณเริ่มสงสัยว่าความเชื่อของคุณกำลังทำงานอยู่หรือไม่ คุณนำความต้านทานเข้ามาในกระบวนการ ความสงสัยคือการกระทำของการเชื่อในบางสิ่งที่ตรงข้ามกับความปรารถนาของคุณ เมื่อคุณยืนหยัดในความเชื่อ

คุณไม่สามารถบ่มเพาะสิ่งที่ตรงข้ามกันได้ คุณไม่สามารถเชื่อในความอุดมสมบูรณ์ในขณะที่กลัวความขาดแคลนไปพร้อมๆ กัน คุณไม่สามารถเชื่อในความรักในขณะที่สงสัยในคุณค่าของคุณ คุณไม่สามารถเชื่อในความสำเร็จในขณะที่จดจ่ออยู่กับความล้มเหลว จิตใจไม่สามารถยึดถือความเชื่อที่ขัดแย้งกันได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่คุณยืนหยัดจะกลายเป็นความเป็นจริงของคุณ

นี่คือเหตุผลที่ความยืนหยัดเป็นกุญแจสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงพอที่จะเชื่อบางสิ่งเป็นเวลาชั่วขณะหรือวันเดียว คุณต้องอยู่ในความแน่นอนของความจริงของมัน ไม่ว่าโลกภายนอกจะดูเหมือนแสดงให้คุณเห็นอย่างไร

เมื่อคุณยืนหยัดในความเชื่อว่าคุณเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่คุณปรารถนาแล้ว ความเป็นจริงจะเคลื่อนไหวเพื่อยืนยันมัน ประตูจะเปิดในที่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โอกาสจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่ไม่คาดคิด ผู้คนและสถานการณ์จะเปลี่ยนไปสอดคล้องกับความเชื่อของคุณ

โลกเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนสถานะของจิตสำนึกที่คุณครอบครอง ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปรากฏในกระจก คุณต้องเปลี่ยนแปลงจากภายในก่อน ยืนหยัดในความเชื่อว่าคุณเป็นคนที่มีสิ่งที่คุณปรารถนาแล้ว เดิน พูด คิด และรู้สึกราวกับว่ามันเป็นความจริงแล้ว อย่ารอคอยหลักฐาน กลายเป็นรูปร่างของความเชื่อของคุณเดี๋ยวนี้ เมื่อคุณยืนหยัดในวิธีนี้ โลกก็ไม่สามารถที่จะไม่ปรับตัวตาม

กระบวนการนั้นง่าย แต่คนส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะพวกเขาไม่ยืนหยัด พวกเขาปล่อยให้ประสาทสัมผัสหลอกพวกเขา พวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกสั่นคลอนความเชื่อของพวกเขา พวกเขาฟังความสงสัยของผู้อื่นและตั้งคำถามกับพลังของตัวเอง แต่ผู้ที่ยืนหยัด ที่ปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งใด

บทสรุป: การใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ

คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ คือคนที่ไม่ยอมรับสิ่งใดที่น้อยไปกว่าความสำเร็จตามที่พวกเขาเชื่อมั่น ไม่มีสิ่งใดที่เกินเอื้อม ไม่มีความปรารถนาใดที่ยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีความฝันใดที่ไกลเกินไป สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือ ยืนหยัดในความเชื่อว่า มันเป็นของคุณแล้ว

อย่ากังวลว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อย่ามองหาเครื่องยืนยันจากโลกภายนอก แค่ เชื่อมั่น ดำรงอยู่ในความเชื่อนั้น และปล่อยให้โลกปรับตัวตาม เมื่อคุณทำเช่นนี้ คุณจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนปาฏิหาริย์ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นไปได้เสมอ

ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สามารถปฏิเสธสิ่งที่คุณเชื่อมั่นด้วยความแน่วแน่ โลกภายนอกไม่ได้แยกจากคุณ แต่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากตัวคุณเอง ทันทีที่คุณประกาศว่าสิ่งใดเป็นของคุณ และยืนหยัดอยู่กับความเชื่อนั้น ความเป็นจริงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่คุณอาจคาดไม่ถึง

คุณไม่จำเป็นต้องอ้อนวอน ไล่ตาม หรือบังคับให้สิ่งใดเกิดขึ้น แค่ ใช้ชีวิตราวกับว่าสิ่งที่คุณต้องการเป็นของคุณแล้ว และโลกจะจัดระเบียบตัวเองเพื่อสะท้อนความจริงนั้น

ความสงสัยและความลังเลเป็นเพียงอุปสรรคเดียวที่ขวางกั้นความปรารถนาของคุณ ทันทีที่คุณเริ่มหวั่นไหว คุณก็เพียงแค่เลื่อนเวลาของความสำเร็จออกไป แต่หากคุณยังคงแน่วแน่ ไม่ปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกมาสั่นคลอนความเชื่อของคุณ คุณจะสอดคล้องกับพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่ควบคุมทุกสิ่ง

คุณไม่จำเป็นต้องมองหาสัญญาณ หรือพยายามพิสูจน์อะไร จงยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ แล้วหลักฐานจะปรากฏขึ้นเอง

พลังในการสร้างโลกของคุณอยู่ภายในตัวคุณเอง จงยืนหยัด เชื่อมั่น และดำรงชีวิตราวกับว่าคุณมีทุกสิ่งที่คุณปรารถนาอยู่แล้ว โลกจะตอบสนองต่อคุณ เพราะ มันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสะท้อนสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นความจริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *