เชื่อว่าหลายคนคงได้เคยดู Youtube ที่มีคนอธิบายเกี่ยวกับเทปบันทึกเสียงของ เอิร์ล ไนติงเกล (Earl Nightingale) เรื่อง The Strangest Secret กันมาบ้างแล้ว ว่ากันว่าเป็นเทปบันทึกเสียงเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองและการบรรลุเป้าหมายที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกเสียงมา
เรื่องราวมันเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1956 เอิร์ล ไนติงเกล ได้เขียนและบันทึกเสียงหนึ่งในรายการเสียงชุดแรกของโลกเกี่ยวกับหัวข้อการพัฒนาตนเอง ในฐานะอดีตผู้ประกาศข่าววิทยุ นักธุรกิจ และผู้ชื่นชอบการพัฒนาตนเอง เอิร์ลใช้ทักษะการเขียนที่ชัดเจนและน้ำเสียงที่ก้องกังวานเพื่อแบ่งปันภูมิปัญญาที่สั่งสมด้วยตนเองมานานกว่า 20 ปีในหัวข้อการพัฒนาตนเอง การตั้งเป้าหมาย และการบรรลุความสำเร็จ
ในช่วงเวลาที่ทำการบันทึก เอิร์ล ไนติงเกล เป็นเจ้าของบริษัทประกันภัยขนาดเล็กอยู่ เขาเขียนและนำเสนอสุนทรพจน์สร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานฝ่ายขายของบริษัทเป็นประจำทุกสัปดาห์
ครั้งนั้นเขาได้บันทึกเสียงสุนทรพจน์ที่ชื่อ The Strangest Secret (ความลับอันน่าประหลาดที่สุด) เพื่อเปิดให้ฟังเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ในขณะที่เขาไปพักร้อน เพื่อทดแทนการพูดสดของเขา
หลังแผ่นบันทึกเสียงนี้ถูกเล่นครั้งแรกให้กับกลุ่มพนักงานนายหน้าขายของบริษัทประกันภัยเอิร์ล ไนติงเกล พวกเขาถูกกระตุ้นให้มีไฟอย่างรุนแรง ปฏิกิริยาของพนักงานขายที่มีต่อเสียงบันทึกนั้นดีมาก พนักงานของไนติงเกลได้บอกต่อกันถึงประโยชน์ที่ได้รับจากเสียงบันทึกนี้
ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟป่า และทุกคนที่ได้ยินก็รู้สึกกระตุ้นให้เข้าสู่การกระทำอย่างแท้จริง คำขอให้บันทึกข้อความนี้มาเพียบนับพันคำขอต่อสัปดาห์ เขาจึงมาการเรียกร้องขอสำเนาจากเขามากมากกมาย
ภายในเวลาไม่นานก็มีคนโทรเข้ามาบ้าง เขียนจดหมายมามาบ้าง รวมๆแล้ว รวมกว่า 2 แสนคน หรือแม้แต่เดินเข้ามาที่สำนักงานของเอิร์ลโดยตรงเพื่อขอรับสำเนา ส่งผลให้ความต้องการสำเนาบันทึกเสียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงนำมาผลิตเป็นเทปขายเพื่อการพานิชย์เป็นเรื่องเป็นราว
การบอกต่อกันแบบปากต่อปากทำให้ยอดขายของ The Strangest Secret พุ่งสูงขึ้น และในที่สุดก็ขายได้มากกว่าหนึ่งล้านชุด ทำให้ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำแผ่นแรกที่ไม่ใช่เพลง
แล้ว “The Strangest Secret” เขาพูดถึงเรื่องอะไร เป็นคำปราศรัยที่มีชื่อเสียงของ Earl Nightingale ซึ่งพูดถึงหลักการสำคัญในการบรรลุความสำเร็จในชีวิต
แนวคิดหลัก ก็คือ “เรามีแนวโน้มที่จะได้รับ หรือจะเป็นในสิ่งที่เราคิด“
Nightingale อธิบายว่าความคิดที่ซ้ำๆ จะเป็นตัวกำหนดการกระทำและผลลัพธ์ในชีวิตของเรา หากเรามีความคิดที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี เรามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ถ้าเรามีความคิดด้านลบ ก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ดีตามมา
ดังนั้น “ความลับประหลาด” ที่ Nightingale พูดถึงคือ การตระหนักถึงพลังของความคิดที่มีต่อชีวิตของเรา และการฝึกควบคุมความคิดให้เป็นบวกเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนา
วันนี้ทางเราจะนำเทป “The Strangest Secret” ที่ว่านี้มาแปลเป็นภาษาไทย คำต่อคำว่าเขาพูดว่าอะไรบ้าง มันมีความหมายลึกซึ้งยังไง เรามาเริ่มค้นหากันเลยครับ
The Strangest Secret ความลับอันประหลาด โดย เอิร์ล ไนติงเกล

เอิร์ล ไนติงเกลกล่าวว่า คุณรู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคน 100 คนที่เริ่มเท่ากันต้นตั้งแต่อายุ 25 ปี และพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เมื่ออายุ 65 ปี จะมีเพียง 5 คนเท่านั้นจาก 100 คนที่จะประสบความสำเร็จ ทำไมถึงมีคนล้มเหลวจำนวนมากเช่นนั้น
เกิดอะไรขึ้นกับพลังและไฟที่พวกเขามีเมื่ออายุ 25 ปี ความฝัน ความหวัง แผนการของพวกเขาหายไปไหน และทำไมถึงมีช่องว่างอันใหญ่หลวงระหว่างสิ่งที่คนเหล่านี้ตั้งใจจะทำกับสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้จริงๆ นั่นคือ…ความลับประหลาดที่สุด
หลายปีก่อน ดร.อัลเบิร์ต ชไวซ์เซอร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่ล่วงลับไปแล้ว ได้ถูกถามจากผู้สื่อข่าวว่า ‘คุณหมอ สิ่งไหนคือปัญหาของมนุษย์ในปัจจุบัน” แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “มนุษย์แค่ไม่คิด!”
นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจะพูดคุยกับคุณในวันนี้ เราดำรงชีวิตอยู่ในยุคทองคำ มันเป็นยุคที่มนุษยชาติมองไปข้างหน้า ฝันถึง และตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาเราทำงานเพื่อให้ถึงมันวันในวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ในยุคที่ร่ำรวยที่สุดที่เคยมีมาบนพื้นผิวโลก แผ่นดินแห่งโอกาสอันบริบูรณ์สำหรับทุกคน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากกลุ่มคนหนึ่งร้อยคนที่เริ่มตั้งแต่อายุ 25 ปี ท่านมีความคิดเห็นบ้างหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้นในเวลาที่พวกเขาอายุ 65 ปี กลุ่มคนร้อยคนนี้เชื่อว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ พวกเขามีความกระตือรือร้นต่อชีวิต มีประกายไฟในดวงตา มีความพร้อมและพลังที่จะฟันฝ่าสิ่งต่างๆ และชีวิตดูเหมือนการผจญภัยที่น่าสนใจสำหรับพวกเขา
แต่เมื่อถึงวัย 65 ปี จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ร่ำรวย 5 คนจะมีอิสระภาพทางการเงิน 5 คนยังคงทำงานอยู่ และ 54 คนต้องพึ่งพาผู้อื่นในการดำรงชีวิต
มีเพียง 5 คนจากร้อยคนที่ประสบความสำเร็จ! ทำไมจึงมีคนล้มเหลวจำนวนมาก เกิดอะไรขึ้นกับไฟที่พวกเขามีเมื่ออายุ 25 ปี ความฝัน ความหวัง แผนการของพวกเขาหายไปไหน และทำไมถึงมีช่องว่างใหญ่ระหว่างสิ่งที่คนเหล่านี้ตั้งใจจะทำกับสิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จจริง
คำนิยามของคำว่า “ความสำเร็จ”
ก่อนอื่นเราต้องนิยามความสำเร็จก่อน และนี่คือคำนิยามที่ดีที่สุดที่ผมเคยพบ
“ความสำเร็จคือการบรรลุเป้าหมายอันสูงสูดอย่างต่อเนื่อง“
ลองมาดูตัวอย่างต่อไปนี้
- ผู้สำเร็จคือครูที่เป็นครูผู้สอนเพราะเป็นสิ่งที่เขาหรือเธออยากทำ
- ผู้สำเร็จคือเจ้าของกิจการที่ก่อตั้งบริษัทของตนเองเพราะนั่นคือความฝันที่ตนปรารถนา
- ผู้สำเร็จคือพนักงานขายที่ต้องการเป็นพนักงานขายที่ดีที่สุดในบริษัทและตั้งเป้าไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น
ผู้สำเร็จคือทุกคนที่บรรลุไอเดียลที่สมควรและกำหนดไว้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาหรือเธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำ แต่มีเพียง 1 ใน 20 คนที่ทำได้ สิ่งที่เหลือล้วนเป็น ‘คนล้มเหลว’
ดร.โรลโล เมย์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียง เคยเขียนหนังสืออันยอดเยี่ยมชื่อ “Man’s Search for Himself” และในหนังสือเล่มนี้เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งตรงข้ามกับความกล้าหาญในสังคมของเราไม่ใช่ความขลาดกลัว แต่เป็นการทำตามคนหมู่มากแบบไม่คิดอะไร” และนั่นคือเหตุผลของการล้มเหลวของคนจำนวนมาก คือการทำตามคนหมู่มาก พวกเขาแสดงพฤติกรรมเหมือนคนอื่นๆโดยไม่รู้สาเหตุหรือแม้แต่ทิศทางที่กำลังเดินไป
เราเรียนรู้การอ่านในเวลาที่อายุประมาณ 7 ขวบ เราเรียนรู้วิธีหารายได้เลี้ยงชีพในช่วงอายุ 30 ปี บ่อยครั้งในช่วงเวลานั้น เราไม่เพียงแค่หารายได้เลี้ยงตัวเอง แต่ยังต้องเลี้ยงดูครอบครัวด้วย
และถึงกระนั้นเมื่ออายุ 65 ปีเรากลับยังไม่เรียนรู้วิธีการที่จะมั่งคั่งได้ในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ที่เคยมีมา ทำไมเช่นนั้น เพราะเรายอมสยบกับชีวิตโดยการทำตามคนหมู่มาก ส่วนใหญ่ของเรากำลังแสดงพฤติกรรมเหมือนคนผิดกลุ่ม – กลุ่ม 95 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง
เป้าหมาย
คุณเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าทำไมคนจำนวนมากจึงทำงานหนักและซื่อสัตย์โดยไม่เคยบรรลุสิ่งใดที่โดดเด่นเลย แต่บางคนกลับไม่ได้ทำงานหนักอะไรแต่ดูเหมือนจะได้รับทุกสิ่ง พวกเขาดูเหมือนจะมี “พรสวรรค์พิเศษ”
คุณเคยได้ยินคนพูดมั้ยว่า “ทุกสิ่งที่เขาสัมผัสก็กลายเป็นทองคำ” คุณสังเกตเห็นบ้างหรือไม่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักจะประสบความสำเร็จต่อเนื่อง และในทางกลับกันคนที่ล้มเหลวก็มักจะล้มเหลวต่อๆ ไป
ความแตกต่างอยู่ที่การมีเป้าหมาย คนที่มีเป้าหมายจะประสบความสำเร็จเพราะพวกเขารู้ว่ากำลังเดินทางไปทางไหน มันก็มีเพียงเท่านั้นเอง ในทางกลับกัน คนล้มเหลวเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาถูกกำหนดโดยเหตุการณ์และต่างๆที่เกิดขึ้นกับพวกเขา โดยพลังจากภายนอก
ลองนึกถึงเรือลำหนึ่งที่มีการวางแผนและกำหนดเส้นทางการเดินทางอย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าหน้าที่ประจำเรือและลูกเรือทุกคนรู้แน่ชัดว่าเรือกำลังจะไปทางไหนและจะใช้เวลานานเท่าใด มันมีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน และ 9,999 ครั้งจาก 10,000 ครั้ง มันจะไปถึงจุดหมายนั้นได้
ทีนี้ลองนึกถึงเรือลำอื่นที่คล้ายกับเรือลำแรก แต่เราจะไม่ส่งลูกเรือหรือกัปตันประจำเรือไป เราจะไม่กำหนดทิศทางหรือเป้าหมาย เราเพียงแค่สตาร์ทเครื่องยนต์และปล่อยให้เรือแล่นไป ผมคิดว่าคุณคงจะเห็นด้วยว่าถ้าเรือออกจากท่าเรือได้ มันก็จะจมหรือไปจอดอยู่ที่หาดที่ไหนซักแห่งในฐานะซากเรือร้าง มันไปไหนไม่ได้เลยเพราะไม่มีจุดหมายและไม่มีสิ่งนำทาง
ตัวอย่างดังกล่าวก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้คนอ่อนแอล้มเหลวไม่ใช่เพื่อขัดขวางไม่ให้คนแข็งแกร่งชนะ สังคมในปัจจุบันก็เปรียบได้กับขบวนเรือในยามสงคราม สังคมทั้งระบบช้าลงเพื่อปกป้องสมาชิกที่อ่อนแอที่สุด เช่นเดียวกับขบวนเรือทหารที่ต้องแล่นด้วยความเร็วตามที่เรือลำที่ช้าที่สุดเพื่อให้สามารถอยู่ในแถวรบได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการหารายได้เลี้ยงชีพในปัจจุบันจึงง่ายเสียเหลือเกิน มันไม่ต้องใช้ความสามารถหรือพรสวรรค์พิเศษใดๆ ในการหารายได้และเลี้ยงดูครอบครัวในทุกวันนี้ เรามีระดับเรียกว่า ‘ความมั่นคง’
ดังนั้นเพื่อประสบความสำเร็จ สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือตัดสินใจว่าเราต้องการจะกำหนดเป้าหมายสูงกว่าระดับความมั่นคงที่ว่านั้นนั้นเพียงใด
ตลอดประวัติศาสตร์ บรรดาปราชญ์ นักปรัชญา และผู้พยากรณ์ที่น่าเคารพยกย่อง มีความขัดแย้งกันในหลายๆประเด็น แต่มีเพียงประเด็นเดียวที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันอย่างสมบูรณ์แบบไม่มีใครโต้แย้ง นั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จและความล้มเหลว ซึ่งก็คือ
“เราจะเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด”
นี่คือความลับที่ประหลาดที่สุด! แล้วทำไมผมถึงว่ามันประหลาด และทำไมผมถึงเรียกมันว่าเป็นความลับ?
ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความลับเลย มันได้ถูกเปิดเผยครั้งแรกโดยบรรดาปราชญ์ในอดีต และปรากฏอยู่บ่อยครั้งในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่มีคนเพียงไม่กี่คนที่เรียนรู้หรือเข้าใจสิ่งนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงประหลาด และโดยบางเหตุผลประหลาดเช่นกัน มันจึงเกือบกลายเป็นความลับไปเสียอย่างนั้น
มาร์คัส โอเรลิอุส (Marcus Aurelius) จักรพรรดิแห่งโรมันที่ยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของคนคนหนึ่งคือสิ่งที่ความคิดของเขานั้นนั้นสร้างขึ้นมา”
ดิสราเอลี่ (Benjamin Disraeli) กล่าวว่า “ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นได้หากคนๆนั้นแค่รอคอย สิ่งมีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมายที่มั่นคงต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอน และไม่มีอะไรสามารถต้านทานจิตใจที่จะเสี่ยงเอาชีวิตเพื่อให้บรรลุความสำเร็จนั้นได้”
วิลเลียม เจมส์ (William James) บิดาแห่งวงจิตวิทยาอเมริกัน กล่าวว่า “เราเพียงแค่ทำอย่างกล้าหาญราวกับว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นเป็นจริง และมันจะกลายเป็นจริงอย่างแน่นอนโดยการผูกมันติดกับชีวิตของเรา จนกลายเป็นจริงด้วยการสานสัมพันธ์กับนิสัยและอารมณ์ความรู้สึกและความสนใจของเราในสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดความเชื่อนั่นเอง”
เขากล่าวต่อว่า “แต่ท่านต้องปรารถนาสิ่งนั้นจริงๆ ปรารถนาสิ่งนั้นอย่างเดียว และไม่ปรารถนาอีกร้อยสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง”
เพื่อนเก่าของผม ดร.นอร์แมน วินเซนต์ พีล (Norman Vincent Peale) กล่าวไว้อย่างนี้ “หากคุณคิดในแง่ลบ คุณก็จะได้รับผลลัพธ์เชิงลบ แต่ถ้าคุณคิดในแง่บวก คุณจะบรรลุผลลัพธ์เชิงบวก”
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) กล่าวว่า “คนมักจะตำหนิสภาพแวดล้อมสำหรับสิ่งที่พวกเขาเป็น แต่ผมไม่เชื่อในสภาพแวดล้อม คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้คือคนที่ลุกขึ้นและมองหาสภาพแวดล้อมที่พวกเขาต้องการ และถ้าหาไม่พบพวกเขาจะสร้างมันเอง”
นั่นค่อนข้างชัดเจนใช่ไหมล่ะ เรากลายเป็นสิ่งที่เรามีความคิดนั้น คนที่คิดถึงเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจะบรรลุถึงเป้าหมายนั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เขากำลังคิด ในทางกลับกัน คนที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปทางไหน และดังนั้นจึงต้องมีความคิดที่สับสนวุ่นวาย กลัว และกังวล จะสร้างชีวิตที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ ความกลัว ความวิตกกังวลและความกังวลใจ และถ้าเขาไม่คิดถึงอะไรเลย เขาก็จะกลายเป็นไม่มีอะไรเลย
เพาะปลูกอะไรจะเก็บเกี่ยวผลนั้น
จิตใจมนุษย์เปรียบได้กับผืนดินของชาวนา ผืนดินให้ทางเลือกแก่ชาวนาในการที่จะปลูกอะไรลงไปก็ได้ ดินไม่สนใจว่าจะปลูกอะไร เป็นหน้าที่ของชาวนาที่จะตัดสินใจเลือกสิ่งที่จะนำมาปลูก
จิตใจของมนุษย์ก็เช่นเดียวกับแผ่นดิน จะส่งผลตอบแทนตามสิ่งที่คุณปลูกลงไป แต่มันไม่สนใจว่าจะปลูกอะไร ถ้าชาวนาปลูกเมล็ดสองเม็ด เม็ดหนึ่งเป็นเมล็ดข้าวโพด อีกเม็ดหนึ่งเป็นเบลลาดอนนาที่พิษร้ายแรง แล้วรดน้ำและดูแลรักษา จะเกิดอะไรขึ้น
จงจำไว้ว่าดินไม่ใส่ใจ มันจะให้ผลเป็นพืชพิษร้ายแรงได้พอๆกับข้าวโพดที่เอาไปทำเป็นอาหารเลี้ยงชีวิต เช่นที่พระคัมภีร์บอกว่า “เพาะปลูกอะไรจะเก็บเกี่ยวผลนั้น“
จิตใจของมนุษย์นั้นอุดมสมบูรณ์ พิสดารและพิศวงมากยิ่งกว่าแผ่นดินนัก แต่มันก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน มันไม่สนใจว่าเราจะปลูกอะไร ไม่ว่าจะความสำเร็จหรือความล้มเหลว เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและมีคุณค่า หรือความสับสน ความเข้าใจผิด ความกลัว ความวิตกกังวล และอื่นๆ แต่สิ่งใดก็ตามที่เราปลูกลงไป มันต้องส่งผลตอบแทนกลับมาให้เราแบบนั้น
ปัญหาก็คือ จิตใจของเรามาพร้อมกับการเกิดมีชีวิตเป็นของแถม มันฟรี และสิ่งที่ได้มาฟรีๆ เรามักจะไม่ค่อยให้คุณค่ากับมันนัก แต่สิ่งที่เราต้องจ่ายเงินซื้อ เรากลับให้คุณค่ากับมัน
ซึ่งนั่นตรงกันข้ามกับความจริง ทุกสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆในชีวิตล้วนแล้วแต่มาหาเราฟรีๆ ไม่ว่าจะเป็น จิตใจ วิญญาณ ร่างกาย ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน เชาว์ปัญญา ความรักในครอบครัว ลูกหลาน เพื่อนฝูง และประเทศชาติ
ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าเหล่านี้ล้วนได้มาฟรีทั้งสิ้น
แต่สิ่งของที่เราต้องเสียเงินซื้อนั้นแท้จริงแล้วมีราคาถูกมาก และสามารถหามาทดแทนได้ตลอดเวลา คนดีสามารถสูญสิ้นทุกอย่างและสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาใหม่ได้อีกหลายครั้ง แม้บ้านจะไหม้ เราก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่สิ่งที่เราได้มาฟรีๆ นั้น เราจะไม่มีวันหามาทดแทนได้เลย
จิตใจของเราสามารถทำงานทุกอย่างที่เราจัดสรรให้มันทำได้ แต่โดยทั่วไปเราใช้มันในงานเล็กๆ มากกว่างานใหญ่ ดังนั้นจงตัดสินใจตอนนี้เลยสิว่าคุณต้องการอะไร จงปลูกเป้าหมายนั้นลงในจิตใจของคุณ มันคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตทั้งหมดของคุณ
คุณต้องการประสบความสำเร็จในงานของคุณหรือไม่ คุณต้องการก้าวหน้าในบริษัท ในชุมชนของคุณหรือไม่ คุณต้องการรวยหรือไม่
สิ่งเดียวที่คุณต้องทำก็คือปลูกเมล็ดนั้นในจิตใจของคุณ ดูแลรักษามัน ทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป้าหมายนั้น และมันจะกลายเป็นความจริง
หากทำตามนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ คุณเห็นไหม นี่คือกฎเกณฑ์ เช่นเดียวกับกฎของเซอร์ไอแซกนิวตัน กฎแรงโน้มถ่วง ถ้าคุณยืนบนตึกสูงแล้วกระโดดลงมา คุณจะตกลงมาด้านล่างเสมอ ไม่มีวันขึ้นไปด้านบน
และมันก็เป็นเช่นนั้นกับกฎเกณฑ์ทั้งหมดของธรรมชาติ พวกมันทำงานเสมอ ไม่มีทางผิดเพี้ยนไปได้
- จงคิดถึงเป้าหมายของคุณในลักษณะผ่อนคลายและเชิงบวก
- จินตนาการตัวคุณเองในสายตาแห่งจิตใจว่าคุณได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว
- ดูตัวคุณเองกำลังทำในสิ่งที่คุณจะได้ทำ เมื่อคุณไปถึงเป้าหมายนั้น
พวกเราทุกคนคือผลรวมของความคิดของตัวเราเอง เราอยู่ที่ตรงนี้เพราะนี่คือสถานที่ที่เราต้องการจะอยู่หรือรู้สึกว่าเราสมควรจะอยู่ จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ละคนจากพวกเราจะต้องดำรงชีวิตด้วยผลจากความคิดของตัวเองในอนาคต เพราะสิ่งที่คุณคิดในวันนี้และวันพรุ่งนี้ เดือนหน้าและปีหน้า จะเป็นแบบพิมพ์ที่หล่อหลอมชีวิตและกำหนดอนาคตของคุณ คุณถูกนำทางโดยจิตใจของตัวเอง
ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมขับรถผ่านทางตะวันออกของมลรัฐแอริโซนาและเห็นหนึ่งในเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่ใช้สำหรับขุดดินกำลังวิ่งตามถนน พร้อมกับบรรทุกดินราวๆ 30 ตัน ซึ่งดูเป็นเครื่องจักรที่มหึมาอย่างไม่น่าเชื่อ และมีชายคนหนึ่งนั่งควบคุมอยู่บนยอดของมัน เขาจับพวงมาลัย
ขณะที่ผมขับรถต่อไป ผมก็ประหลาดใจกับความคล้ายคลึงกันของเครื่องจักรนั้นกับจิตใจมนุษย์ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังนั่งควบคุมอยู่บนแหล่งพลังงานอันมหาศาลเช่นนั้น คุณจะนั่งพักผ่อนและปล่อยให้มันวิ่งเข้าหาหนองน้ำหรือไม่ หรือคุณจะจับพวงมาลัยไว้มั่นทั้งสองมือและควบคุมพลังงานนั้นให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่มีประโยชน์
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับคุณ คุณเป็นผู้ขับเอง คุณเห็นไหมว่า กฎเดียวกันนั้นที่นำพาเราสู่ความสำเร็จเป็นดาบสองคม เราต้องควบคุมความคิดของเรา กฎข้อเดียวกันนี้สามารถนำคนไปสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย มีความสุข และทุกสิ่งที่เคยฝันถึง แต่มันก็สามารถนำพาพวกเขาไปสู่ความล้มเหลวได้เช่นกัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะนำไปใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดี นั่นคือความลับประหลาดที่สุด
จงทำในสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เมื่อประวัติศาสตร์ได้รับการบันทึกเริ่มแรกได้บอกเราให้ทำ คุณต้องยอมเสียสละโดยการกลายเป็นคนที่คุณต้องการจะเป็น มันไม่ได้ยากลำบากไปกว่าการดำเนินชีวิตอย่างล้มเหลว
ในขณะที่คุณตัดสินใจเรื่องเป้าหมายที่จะมุ่งสู่ คุณก็กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในทันทีในนั้น คุณจึงอยู่ในกลุ่มของคนพิเศษที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปทางไหน นับจากทุกๆร้อยคน คุณจัดอยู่ในกลุ่ม Top 5
อย่าไปกังวลมากนักว่าจะบรรลุถึงเป้าหมายของคุณอย่างไร มอบหมายเรื่องนั้นไปให้กับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือรู้ว่าคุณกำลังจะไปทางไหน คำตอบจะมาถึงคุณโดยธรรมชาติและตรงเวลาที่เหมาะสม
เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เลย คุณไม่มีอะไรจะเสีย แต่คุณมีทั้งชีวิตที่จะชนะ
แนวปฏิบัติ 30 วันในการนำความลับอันประหลาดนี้มาใช้กับคุณ
สำหรับ 30 วันต่อไป ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ทุกวันจนกว่าคุณจะบรรลุเป้าหมาย
- เขียนสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดลงบนบัตร มันอาจเป็นเงินมากขึ้น หรือคุณอาจต้องการเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าหรือทำเงินในจำนวนเฉพาะ มันอาจเป็นบ้านหลังสวย มันอาจเป็นความสำเร็จในงานของคุณ มันอาจเป็นตำแหน่งหนึ่งในชีวิต หรืออาจเป็นครอบครัวที่กลมเกลียวกันมากขึ้น
เขียนลงบนบัตรหรือกระดาษว่าคุณต้องการสิ่งใดโดยเฉพาะเจาะจง ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเป้าหมายเดียวและระบุได้อย่างชัดเจน คุณไม่จำเป็นต้องแสดงให้ใครเห็น แต่พกติดตัวไว้เพื่อที่จะได้มองดูหลายๆ ครั้งในแต่ละวัน คิดถึงมันด้วยจิตใจผ่อนคลาย เบิกบานใจทุกเช้าตื่นนอน และทันทีคุณก็จะมีสิ่งที่จะทำงานเพื่อให้ได้มา มีเหตุผลที่จะลุกออกจากเตียงทุกเช้า มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน
กลับมาอ่านเป้าหมายทุกโอกาสที่จะทำได้ในระหว่างวัน และก่อนนอนในตอนกลางคืน เมื่อคุณมองดูมันจงจำไว้ว่าคุณต้องกลายเป็นสิ่งที่คุณคิด และเนื่องจากคุณกำลังคิดถึงเป้าหมายของคุณ คุณจึงตระหนักว่าไม่นานคุณจะบรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน ความจริงแล้วมันเป็นของคุณในทันทีที่คุณเขียนมันลงและเริ่มคิดถึงมัน
- หยุดคิดถึงสิ่งที่คุณกลัว ทุกครั้งที่ความคิดด้านลบหรือความกลัวเข้ามาในใจคุณ ให้แทนที่มันด้วยภาพจินตนาการถึงเป้าหมายด้านบวกและมีคุณค่าของคุณ และจะมีเวลามาถึงเมื่อคุณรู้สึกอยากจะยอมแพ้ มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะคิดในแง่ลบมากกว่าคิดในแง่บวก นั่นเป็นเหตุผลที่มีเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ! คุณต้องเริ่มจัดตัวเองให้อยู่ในกลุ่มนั้นตั้งแต่ตอนนี้
“ปฏิบัติเสมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว” ดังที่ Dorothea Brande กล่าวไว้ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณคงเป้าหมายนั้นไว้ต่อหน้าตาทุกวัน คุณจะประหลาดใจและอัศจรรย์ใจกับชีวิตใหม่ที่คุณค้นพบนี้
- ความสำเร็จของคุณจะถูกวัดจากคุณภาพและปริมาณการให้บริการของคุณเสมอ คนส่วนใหญ่จะบอกคุณว่าพวกเขาต้องการทำเงินโดยไม่เข้าใจกฎนี้ คนเดียวที่ทำเงินคือคนที่ทำงานในโรงกษาปณ์ ที่เหลือจากนั้นพวกเราต้องหารายได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้ที่มองหาสิ่งที่ได้มาฟรีๆ หรือการเอาแต่ได้ ล้มเหลวในชีวิต ความสำเร็จไม่ได้เป็นผลมาจากการทำเงิน การทำเงินเป็นผลพวงของความสำเร็จ และความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่โดยตรงกับการให้บริการของเรา
คนส่วนใหญ่เข้าใจกฎนี้กลับด้านกัน มันเหมือนกับชายคนหนึ่งที่ยืนหน้าเตาแล้วพูดกับมันว่า “ให้ความร้อนกับผมก่อน แล้วผมจะเติมฟืนให้” คุณรู้จักหรือคุณคิดว่ามีกี่คนในวันนี้ที่มีทัศนคติเช่นนี้ต่อชีวิต? มีนับล้านเลยทีเดียว”
พวกเราต้องใส่เชื้อเพลิงก่อนจึงจะหวังให้ได้รับความร้อน เช่นเดียวกัน พวกเราต้องให้บริการก่อนจึงจะหวังได้รับเงิน อย่าวิตกกังวลกับเงิน จงให้บริการ สร้างสรรค์ ทำงาน ฝัน สร้างสิ่งใหม่ๆ ทำอย่างนี้และคุณจะพบว่าไม่มีขีดจำกัดในความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ที่จะมาหาคุณ
อย่าเริ่มทดสอบจนกว่าคุณจะตกลงใจแน่วแน่ที่จะยึดมั่น หากคุณล้มเหลวในช่วง 30 วันแรก ซึ่งผมหมายถึงพบตัวเองถูกครอบงำด้วยความคิดด้านลบอย่างกะทันหัน คุณก็แค่เริ่มต้นใหม่จากจุดนั้นและทำต่ออีก 30 วัน โดยค่อยๆให้นิสัยใหม่ของคุณจะก่อตัวขึ้นจนกระทั่งคุณพบว่าตัวเองเป็นหนึ่งในพวกน้อยนิดที่น่าอัศจรรย์ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
ที่สำคัญที่สุด อย่าวิตกกังวล! การวิตกกังวลนำมาซึ่งความกลัว และความกลัวนั้นเปรียบได้กับสิ่งที่ทำให้ร่างกายเป็นง่อย สิ่งเดียวที่อาจทำให้คุณวิตกกังวลในช่วงการทดสอบคือการพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว จงรู้ว่าทุกสิ่งที่คุณต้องทำก็แค่คงสายตาจับจ้องไปที่เป้าหมายของคุณ ทุกอย่างจะมีทางไปของมันเอง
ลองทำการทดสอบ 30 วันนี้ จากนั้นก็ทำซ้ำแล้วทำซ้ำอีก ทุกครั้งมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณมากขึ้นจนคุณสงสัยว่าที่ผ่านมาคุณเคยใช้ชีวิตแบบอื่นได้อย่างไร ใช้ชีวิตวิถีใหม่นี้และประตูแห่งความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จะเปิดออกและส่งความร่ำรวยมากมายกว่าที่คุณเคยฝัน เงินทอง? ใช่ มากมาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณจะมีสันติสุข
คุณจะเป็นคนกลุ่มน้อยนิดที่สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้มีชีวิตที่สงบ แจ่มใส และประสบความสำเร็จ เริ่มวันนี้เลย คุณไม่มีอะไรต้องเสีย แต่คุณมีชีวิตที่ได้แต่ชัยชนะ