แอดมิน

แอดมิน

สิ่งที่ได้มาฟรีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากเท่านั้น

หากพูดว่า “สิ่งที่ได้มาฟรีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากเท่านั้น และสิ่งที่ต้องเสียเงินซื้อจริงๆแล้วคุณค่าของมันสู้ของที่ได้มาฟรีไม่ได้” คุณคงจะพุดว่า บ้าไปแล้วมั้งของฟรีมันจะไปมาค่าได้ยังไง ไม่เช่นนั้นมันจะได้มาฟรีเหรอ คำว่าฟรีหมายถึงได้มาเปล่าๆ ไม่ต้องเอาอะไรไปแลก ตรงนี้ทำให้เรามักจะมีความคิดที่ว่าอะไรที่เราได้มาฟรีๆมักจะมีค่าน้อย หรือไม่ก็ไร้ค่าไปเลย ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราได้มาด้วยความยากลำบากหรือต้องเสียเงินเสียทอง เสี่ยงหรือเหน็ดเหนื่อยเพื่อแลกมันมา มันควรจะมีราคามีค่ามากกว่าไม่ใช่เหรอ หากคิดกันให้ลึกๆแล้วสิ่งที่มันเป็นไปมันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง สิ่งที่มีค่าในชีวิตทุกๆอย่างเราล้วนได้มันมาฟรีทั้งนั้น ส่วนที่เราต้องเสียเงินเสียทองไปหาซื้อมันมาครอบครองมักจะเป็นสิ่งที่มีค่าต่ำ ถึงแม้จะจ่ายมันด้วยเงินมหาศาลเท่าไหร่ราคาของมันจริงๆยิ่งถูก ลองคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราได้มาฟรีทั้งนั้น หลายๆอย่างมันเป็นของเราตั้งแต่เกิด หลายๆอย่างมันก็มีอยู่แล้วแทบไม่ต้องไปดิ้นรนไปแก่งแย่งเอามา เช่น จิตใจ จิตวิญาญ ร่างกายเรา ความหวัง ความรัก ความทะเยอทะยาน กำลังใจ ความเชื่อมั่น ความอดทน ศรัทธา มิตรภาพ ครอบครัว คนที่เรารัก พ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนฝูง อากาศ…

ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญมากที่สุดกับชีวิต (แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทำกัน)

หากคุณได้ติดตามอ่านเนื้อหาของเว็บ sedtee.com มาพอสมควรก็พอจะจับใจความหลักๆของเนื้อหาโดยรวมนี้ได้ว่า มันคือการที่ทางเราพยายามสื่อสารออกไปว่า ขอให้รู้ว่าตัวคุณต้องการอะไร พอรู้ว่าต้องการอะไรและต้องการมันอย่างมากแล้ว ทุกอย่างภายในตัวคุณจะหาทางไปให้ถึงจุดนั้น หรือทำให้ได้ตามความต้องการหรือเป้าหมายนั้น วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญในชีวีติเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องเป้าหมาย เราคงได้ยินได้ฟังกันมานาน บางทีอาจจะบ่อยจนน่าเบื่อ เป็นเรื่องเป้าหมายอีกแล้ว ใครๆก็รู้ว่าต้องมีเป้าหมาย แล้วมันจะช่วยอะไรได้ ทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่จากการวิจัยแบบจริงๆจังพบว่า หากถามเอาคำตอบจริงๆจากคนที่คิดว่ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจเลยว่าในชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ไม่สามารถระบุออกมาได้แน่ชัดว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร ถ้าให้ตอบจริงๆก็จะบอกว่าอยากมีเงินเยอะ อยากมีเวลา อยากทำอะไรก็อยากทำ แต่ก็จะคำถามต่อไปคือ ที่ว่าอยากมีเงินยอะๆ เยอะเท่าไหร่ อยากเอาเวลาไปทำอะไร แล้วที่ว่าอะไรที่อยากทำจริงๆแล้วต้องการทำอะไร เชื่อหรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่จะตอบแบบละเอียดไม่ได้เลยเพราะพวกเขาไม่ได้สอนให้รู้จักความสำคัญของเป้าหมายตั้งแต่ตอนเริ่มต้นชีวิต อีกเหตุผลคือคนเรามักจะมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนหรือแรงต่อต้านจากภายในกับสิ่งที่เราต้องการที่มันดูเกินตัวเกินความสามารถของตัวเอง ณ ตอนนั้น ในขณะเดียวกันหากศึกษาจากชีวิตคนอื่นที่เขานำประวัติตัวเองมาเขียนมาเล่า หรือเรื่องราวของคนที่มีคนพูดถึงเยอะๆ คนที่ประสบความสำเร็จ จะพบว่าแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเป้าหมายในชีวิต รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เป้าหมาย หากมองผิวเผิน บางทีมันง่ายและอยู่ใกล้เราซะเรามองข้ามมันไป ไม่เชื่อว่ามันจะมีความสำคัญมากขนาดนั้น…

ผู้คิดและผู้พิสูจน์ – เมื่อเราเชื่ออย่างไรเราก็จะพิสูจน์จนสำเร็จว่าความจริงเป็นอย่างที่เราเชื่อ

เนื้อหาต่อไปนี้สรุปจากบทแรกของหนังสือ Prometheus Rising ของ Robert Anton Wilson ว่าด้วยเรื่องที่ว่าเมื่อเราเชื่ออย่างไรตัวเราก็จะพยายามพิสุจน์ให้ได้ว่ามันเป็นจริงตามที่เราเชื่อนั้นก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าหนังสือ Prometheus Rising มันคือหนังสือเกี่ยวกับอะไร Prometheus Rising เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) เขียนโดย Robert Anton Wilson ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือและนักปรัชญาชาวอเมริกันที่มีผลงานที่หลากหลายในเรื่องของความรู้ทางปรัชญาและจิตวิทยา หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและการเสริมสร้างความตระหนักของมนุษย์ โดยเน้นไปที่กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมของบุคคล ผ่านการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การใช้ความรู้ทางจิตวิทยา การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญชาตญาณ และการฝึกปฏิบัติธรรม หนังสือนี้มอบเครื่องมือและแนวคิดที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจด้านภาพนิ่งของจิตใจและวิธีการที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเข้าใจในระบบการตระหนักที่ซับซ้อนของมนุษย์ การอ่านหนังสือนี้สามารถเป็นการเปลี่ยนแปลงในการมองโลกและการรับรู้ความเป็นจริงของบุคคลได้อย่างมีความรู้สึก นอกจากนั้นยังได้ช่วยเปิดโปรงใจและเสริมความเข้าใจในเรื่องของจิตวิทยา และการทำงานของจิตใจที่ซับซ้อนของมนุษย์ โดยการนำเสนอแนวคิดและเทคนิคที่ช่วยในการเสริมสร้างความตระหนักและการเปลี่ยนแปลงความคิด หนังสือเล่มไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเพ้อฝัน แต่ใช้หลักการทางจิตวิทยามาอธิบาย ผู้อ่านได้รับการกระตุ้นให้สังเกตและเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของพฤติกรรมและเชิงอารมณ์ของมนุษย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการมองโลกและการต่อสู้กับความเชื่อที่มีอยู่ในสังคม…

จินตนาการ (Imagination): พลังงานที่มองไม่เห็นที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นจริงในชีวิตของคุณ

คุณลองนึกภาพออกไหมว่า เคยมีบางสถานการณ์ที่คุณคิดอยากทำนั่นอยากได้นี่ คุณคิดเล่นๆ คิดในจินตนาการ คุณเห็นภาพมันชัดเจนในใจ ผ่านไปซักพัก สิ่งที่คุณคิดมันดันกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการฝันไปเที่ยวต่างประเทศ การได้เปลี่ยนงานใหม่ การได้รถใหม่ บ้านใหม่ หรือได้ไปปะทะไหล่ดารานักร้องดังที่คุณชื่นชอบ โดยที่คุณเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นจริงได้ นี่แหละที่เขาเรียกว่า จินตนาการคือจุดกำเนิดของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทุกอย่าง ลองนึกถึงเรื่องของพี่น้องตระกูลไรท์ ออร์วิลล์และวิลเบอร์ (Wright brothers) สองพี่น้องธรรมดาๆ ที่มีวิสัยทัศน์ไม่ธรรมดา พวกเขาฝันถึงสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นไปไม่ได้ หรือมนุษย์กำลังบินได้ ด้วยความมุ่งมั่น จินตนาการของพวกเขาก็ได้ให้กำเนิดเครื่องบินลำแรกในปี 1903 เปลี่ยนโฉมวงการการบินไปตลอดกาล หรือลองคิดถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง (J. K. Rowling) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ว่างงาน จนต้องรับเงินสงเคราะห์จากรัฐบาล เธอมีความคิด จินตนาการถึงเด็กชายพ่อมดชื่อ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ถึงแม้จะโดนปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง…

บอกตัวเองซ้ำๆย้ำว่า “ฉันรวย”: วิธีเปลี่ยนความคิดให้รวยขึ้นมาจริงๆ

หากเปรียบกับแม่เหล็กที่ดึงดูดเหล็กเข้ามาหาตัวได้ คุณเองก็สามารถดึงดูดความมั่งคั่งเข้ามาในชีวิตได้ด้วยพลังแห่งการยืนยันเชิงบวก เตรียมตัวพบกับวิธีการสร้างแรงดึงดูดทางการเงินด้วยมนตราแห่งความร่ำรวยจากจักรวาล ลองนึกภาพตัวคุณกำลังปรับสวิตช์ความคิดเพื่อดึงดูดความอุดมสมบูรณ์อย่างง่ายดาย แต่คุณอาจสงสัยว่าจะทำอย่างไร? อะไรคือเคล็ดลับสู่แรงดึงดูดอันทรงพลังนี้?

The Kybalion: เจาะลึกหลักการ 7 ประการ (อย่างละเอียด) ว่าจะพลิกชีวิตของคุณได้อย่างไร

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับผู้คนนับไม่ถ้วนที่ได้นำเอาหลักการเหล่านี้มาใช้ในการแสวงหาการเติบโตทางจิตวิญญาณและการเปลี่ยนแปลงตนเองในด้านต่างๆรวมถึงการเงินและความมั่งคั่ง คุณพร้อมหรือยังที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาและปลดล็อกความลับที่ดึงดูดเหล่าปราชญ์และผู้แสวงหามาตลอดประวัติศาสตร์

ศิลปะแห่งการสวมบทบาทว่าตัวเรามั่งร่ำรวยแล้ว (Mastering the Law of Assumption)

หลังจากที่เราได้นำเสนอกฏแห่งการสมมุติ The Law of Assumption มาได้ซักพักแล้วก็ถึงเวลาแล้วที่จะเอาไปประยุคต์ใช้และให้ได้ผลในชีวิตจริง วันนี้เราจะมาพูดถึงศิลปะแห่งการสมมติ (The Art of Assuming) เป็นเนื้อหาที่ทาง sedtee.com จะนำเสนอเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่เจาะลึกถึงพลังของการตั้งสมมติฐานเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณครั้งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ เทคนิคนี้มีพื้นฐานมาจากกฏแห่งการสมมุติ หากคุณอยากรู้ว่ามันคืออะไรเราแนะนำให้เข้าไปอ่านเนื้อหานี้ได้ที่ The Law of Assumption ของ Neville Goddard และอีกบทหนึ่งเป็นเนื้อที่มาที่ไปของความลับจักรวาลอันนี้ ไขความลับโบราณสู่การสร้างความจริงผ่าน The Law of Assumption โดย Harvey Spencer Lewis เชื่อได้ว่าไม่มีเนื้อหาภาษาไทยบนอินเตอร์เน็ตที่ไหนที่จะมีเนื้อหาที่ท้าทายในลักษณะแบบมาก่อน และเป็นเนื้อหาที่มีคนเข้าใจเพียงกลุ่มเล็กๆเท่านั้น หากคุณสนใจที่จะเปิดโลกใหม่กับวิธีการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากภายในสู่ภายนอก ขอแจ้งไว้ก่อนบทนี้จะมีเนื้อหาที่ยาวมาก หากคุณเป็นสายอ่านและอ่านจบรับรองว่าจะได้มุมมองใหม่และและเทคนิคการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากข้างในอย่างละเอียด ซึ่งจะเปลี่ยนชีวติคุณไปตลอดกาล เมื่อพร้อมแล้วก็มาร่วมเดินทางด้วยกันได้เลยครับ…

เคล็ดลับการใช้กฏแห่งแรงดึงดูดที่ดีที่สุดที่ได้ผลเร็ว

คุณทำทุกอย่างแล้วเพื่อใช้กฏแห่งดึงดูดสิ่งที่คุณปรารถนาโดยใช้กฎแรงดึงดูด แต่คุณก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ซักทีทั้งๆที่คุณมั่นใจว่าทำถูกต้องตามที่ได้เรียนรู้มา คุณยืนยันสิ่งที่เห็นภาพในใจ และลงมือทำอย่างตั้งใจ แต่คุณยังรู้สึกว่าความฝันของคุณยังไกลเกินเอื้อม ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ที่กล่าวมานี้คุณได้มาถูกที่แล้ว เนื้อหาบทนี้ของเว็บเศรษฐี Sedtee.com จะเปิดเผยเคล็ดลับที่ทำให้กฏแห่งแรงดึงดูได้ผลอย่างรวดเร็วโดยที่คนจำนวนมากทำยังไม่ถูกวิธี หรือรู้แล้วแต่มองข้ามไป หรืออาจจะรู้แล้วแต่อาจจะขี้เกียจทำ และเหตุผลที่คนส่วนใหญ่พยายามกับกฎแรงดึงดูดแต่ไม่สำเร็จก็คือ พวกเขาขาดส่วนสำคัญหนึ่งของปริศนานี้ไป จะเป็นอย่างไร หากมีวิธีการทรงพลังที่สามารถช่วยให้คุณดึงดูดความปรารถนาอันลึกซึ้งได้อย่างรวดเร็ว? มันคงจะยอดเยี่ยมเลยใช่ไหมครับถ้ามีเทคนิคที่จะพลิกเกมการดึงดูด และเชื่อมช่องว่างระหว่างจุดที่คุณอยู่กับจุดที่คุณต้องการจะไป จริงๆแล้วมันมีวิธีจะปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของกฎแรงดึงดูด โดยการทำให้คุณสอดคล้องเข้ากับความเป็นจริงที่คุณตั้งใจไว้ จักรวาลทำงานโดยอาศัยความถี่ของการสั่นสะเทือน (Frequency of Vibration) เมื่อพลังงานภายในของคุณตรงกับความถี่ของสิ่งที่ปรารถนา สิ่งนั้นจะปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและรวดเร็ว แต่หากความถี่ของคุณไม่ตรงกัน จักรวาลก็จะไม่สามารถมอบสิ่งที่คุณปรารถนาได้ หลักการมีง่ายๆแค่นี้เอง ลองคิดว่ามันเหมือนกับการพยายามปรับคลื่นวิทยุไปยังสถานีที่คุณโปรด เพื่อให้รับสัญญาณได้ชัดเจนคุณต้องอยู่ในช่วงความถี่ที่ถูกต้องเท่านั้น กลวิธีการดึงดูดที่เรากำลังจะแบ่งปันกับคุณนี้มันเรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อ แต่ว่าทรงพลังอย่างลึกซึ้ง มันจะทำให้ความคิด อารมณ์ ความเชื่อ และการกระทำของคุณสอดคล้องกัน ส่งผลให้เกิดการสั่นพ้องอันทรงพลังที่จะดึงดูดความปรารถนาของคุณเข้าสู่ความเป็นจริงของคุณด้วยความเร็วสูง หลักการทำงานมีดังนี้… ขั้นตอนที่ 1…

ไขความลับโบราณสู่การสร้างความจริงผ่าน The Law of Assumption โดย Harvey Spencer Lewis

เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสรุปรายละเอียดของ บันทึกเรื่องความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (The Law of Assumption) โดยมีความเชื่อที่ว่าความคิดของเรามีพลังที่จะดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาในชีวิตเรา หากเราต้องการสิ่งไหนแล้วจำลองตัวเองในใจว่าทำสำเร็จแล้วและเชื่ออย่างต่อเนื่องแล้วสิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง ซึ่งเนื้อหานี้เขียนโดย Harvey Spencer Lewis F.R.C. และเผยแพร่โดยองค์ลับ The Ancient and Mystical Order Rosæ Crucis, AMORC ระหว่างปี ค.ศ. 1915 – 1939 ซึ่งมีเพียงคนกลุ่มน้อยบนโลกเท่านั้นที่เข้าถึง และเว็บไซต์ เศรษฐี sedtee.com ก็เป็นที่เดียวที่นำมาแปลเป็นภาษาไทยเผยแพร่ศาสตร์ลับนี้ และตอนนี้คุณก็เป็นเพียงหนึ่งในคนจำนวนน้อยบนโลกนี้ที่รู้จักเนื้อหานี้แล้ว จงอ่านต่อเลย ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกัย Harvey Spencer Lewis F.R.C. หรือที่รู้จักกันในชื่อ…

หลักการ Living in the End (อยู่ในภาวะราวกับว่าสำเร็จความปรารถนาแล้ว) คืออะไร และทำอย่างไร

คุณอาจเคยได้ยินคำว่า Living in the End ที่บัญญัติโดยเนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) มาแล้ว ถ้าแปลตรงๆความหมายก็คือ ”การใช้ชีวิตในตอนจบ” อ้าว…อ่านหรือฟังแล้วจะดูงงๆหน่อย แถมดูน่ากลัวอีก อะไรคือตอนจบ จบแล้วจะเป็นยังไงต่อ หรือว่าหมายถึงให้ใช้ชีวิตให้เหมือนก่อนตายหรือไง ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าใช่ ดังนั้นถ้าแปลตามตัวอักษรตรงๆจะไม่เข้าใจความหมายเลย แถมยังสร้างคำถามใหม่เข้ามาอีก หากศึกษาเนื้อหาที่เนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) สอนมาพอสมควรจะเริ่มเข้าใจว่าเขาหมายถึง “การดำเนินชีวิตโดยยึดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นหลัก” ซึ่งก็คือยึดผลลัพธ์ที่ต้องการแล้วใช้ชีวิตให้ได้แบบผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น ความหมายนี้ดีขึ้นมาหน่อยพอเข้าใจได้แต่ก็ยังคลุมเคลืออยู่เพราะใช้คำซับซ้อนไปหน่อย แต่ถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้นมาอีกนิด มันก็คือ “การทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้ว” ถ้าแปลเป็นภาษาชาวบ้านให้ง่ายๆอีกนิดคือ การทำตัวและใช้ชีวิตราวกับว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ทำสำเร็จแล้ว ตัวอย่าเช่นถ้าอยากรวย ก็ต้อง Living in the End…