กำหนดชะตาชีวิต: ปลดล็อคความมั่งร่ำรวยด้วย 8 เทคนิคที่ทรงพลังนี้

เนื้อหาบทนี้เหมาะสำหรับผู้แสวงหาปัญญาและผู้แสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยจากภายใน เป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างเข้าใจยากอยู่ซักนิดเพราะเป็นแนวคิดแบบนามธรรมมากกว่าจะเป็นรูปธรรม เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดการความคิด เจตนารมณ์ และวิสัยทัศน์ภายใน มากกว่าการพัฒนาทักษะความชำนาญ หรือการแสวงหาเทคนิคทางธุรกิจในการสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง

แต่เมื่อคุณเข้าใจเทคนิคที่จะกล่าวถึงในเนื้อหาบทนี้แล้ว ความเป็นจริงก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณมีจุดเริ่มต้นมาจากภายใน นั่นก็คือความรู้สึกนึกคิดของคุณนั่นเอง

วันนี้เราจะเปิดรับเทคนิคอันล้ำลึกที่สร้างสะพานข้ามหุบเหวระหว่างจิตวิญญาณกับวัตถุ ระหว่างแก่นแท้ของการมีตัวตนกับสสารแห่งเอกภพนี้ เทคนิคนี้มีศักยภาพจะนำพาความจริงที่คุณต้องการให้เกิดกับตัวคุณ

1) Intention เจตนารมณ์ที่มุ่งมั่น

บทเรียนแรกในการเข้าใจเทคนิคนี้คือการเข้าใจพลังแห่งเจตนารมณ์ หรือความตั้งในอันแน่วแน่ (Intention) ว่าเมื่อคุณมีมันแล้วจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปในทางที่ต้องการอย่างไม่น่าเชื่อ

Intention หรือ เจตนารมณ์ หมายถึงพลังจากความตั้งใจอย่างแน่วแน่ มุ่งมั่น ซึ่งมีอิทธิพลต่อการนำพาชีวิตและสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามที่ปรารถนา ตามเจตนารมณ์นั้นๆ เจตนารมณ์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์ความเป็นจริงตามที่ต้องการ เมื่อมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่และหนักแน่น จะช่วยนำพาให้บรรลุผลสำเร็จได้

ในเนื้อหาบทนี้เราจะใช้คำทับศัพท์ว่า Intention เป็นหลัก เนื่องจากหาคำภาษาไทยที่มีความหมายตรงได้ยาก อาจจะสลับสับเปลี่ยนกับคำว่าความตั้งใจ หรือเจตนารมณ์ ตามความเหมาะสม แต่ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งเดียวกัน

Intention ไม่ใช่แค่ความหวังหรือความปรารถนาเท่านั้น แต่เป็นพลังงานที่มุ่งเน้นในการนำพากระแสพลังชีวิตของพวกเรา เมื่อเรามี Intention เรากำลังปรับสภาวะจิตสำนึกของเราให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ต้องการ และหล่อเลี้ยงมันด้วยพลังและความปรารถนาของเรา จนทำให้สิ่งที่เราต้องการเป็นจริงขึ้นมาได้ในที่สุด

จงนึกถึงครั้งที่เราต้องการบางสิ่งอย่างแน่วแน่ และในที่สุดสิ่งที่เราต้องการก็เกิดขึ้นจริงขึ้นมาแม้จะมีอุปสรรคมากมาย นั่นเป็นเพียงบังเอิญหรือเป็นพลังความตั้งใจของเราที่โน้มน้าวให้ความเป็นจริงนั้นเป็นไปตามความปรารถนาของเรากันแน่?

หัวใจสำคัญในการสร้างพลังนี้ไม่ได้อยู่ที่การบังคับ แต่อยู่ที่การปรับความเชื่อว่าสิ่งที่ต้องการจะต้องเกิดขึ้นได้ให้สอดคล้องกับความตั้ง ถ้าจะให้เปรียบก็เปรียบเสมือนความคิดของเราคือเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นจริง และ Intention ของเราคือแสงอาทิตย์ที่หล่อเลี้ยงมัน สิ่งที่เราต้องการก็จะมีพลังงานตามมา นั่นหมายถึงการที่เรามี Intention เราก็กำลังหล่อเลี้ยงมันด้วยพลังชีวิตที่จำเป็นต่อการเติบโต จนในที่สุดก็จะได้ผลลัพธ์ที่ปรารถนาไว้

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายถึงความหมกมุ่นจนหลงใหลจนไม่ลืมหูลืมตาม แต่หมายถึงความชัดเจน ความเชื่อมั่น และการปล่อยวางไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราต้องการ

ถ้าจะให้ลองเทียบกับชีวิตจริงๆอีกแบบก็ลองจินตนาการดังนี้

  • คุณกำลังทำสวน คุณมีสิ่งที่คุณต้องการซึ่งก็คือผลผลิตที่คุณต้องการจะเก็บเกี่ยว คุณต้องรู้ว่าคุณต้องการผลผลิตอะไร ข้าว องุ่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ดังนั้นคุณต้องคัดเลือกเมล็ดพันธุ์
  • จากนั้นคุณก็ลงมือปลูกด้วยความตั้งใจ โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมดี พร้อมแล้วสำหรับการเจริญงอกงาม ซึ่งก็คือ Intention
  • หลังจากนั้นคุณก็ถอยออกมา ปล่อยให้พระอาทิตย์และฝนช่วยหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น มั่นใจในกระบวนการตามธรรมชาติ

ในทำนองเดียวกัน กับความตั้งใจ หรือ Intention ของเรา เราต้องไว้วางใจในเวลาและวิธีการที่สิ่งที่เราต้องการเหล่านั้นจะตั้งรกรากในความเป็นจริง

ตอนนี้ให้เราเพิ่มแนวคิดนี้ให้สูงขึ้นไปอีกนะ เรามักจะเห็นก่อนถึงจะเชื่อ แต่ในเรื่องของการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ต้องเชื่อก่อนแล้วถึงจะเห็น เราต้องเชื่อในความสิ่งที่เราต้องการก่อนว่ามันจะประสบผมสำเร็จ แล้วมันก็สำเร็จตามนั้น แม้จะไม่มีหลักฐานใดๆปรากฏให้เราเห็นว่ามันจะเป็นตามนั้น

ความเชื่อจะทำงานเสมือนแรงดึงดูดทางแม่เหล็ก ที่รวมอนุภาคแห่งความเป็นไปได้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างภาพที่เราเก็บไว้ในสมอง แล้วในที่สุดมันก็จะเป็นจริง

2) Feeling ความรู้สึกเสมือนกับสิ่งที่ต้องการได้เกิดขึ้นแล้ว

ต่อไปเป็นเรื่องของอารมณ์ เมื่อพูดถึงอารมณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอารมณ์ดี อารมณ์เสีย หรืออารมณ์หลง แต่หมายถึงความรู้สึกที่เรามีต่อสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการให้เป็น หรือจะอาจจะใช้คำว่าความรู้สึกก็ได้ เช่นรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่ได้รับ ในเนื้อนี้เราจะใช้ความว่าความรู้สึก หรืออาจจะปรับเปลี่ยนไปใช้คำว่าอารมณ์บ้าง แต่ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งเดียวกัน

ความรู้สึกซึ่งเป็นภาษาที่เราใช้สื่อสารกับจักรวาล ความรู้สึกเติมพลังให้กับเจตนารมณ์ของเรา เพื่อให้สามารถพ้นจากขีดจำกัดของความธรรมดาได้ เมื่อเราหลอมรวมความปรารถนาของเรากับความรู้สึกแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความหลงใหล หรือความกตัญญู หรือซาบซึ้ง มันช่วยเพิ่มกำลังสัญญาณส่งสารสำคัญที่ชัดเจนออกไปให้จักรวาลรับรู้

แต่เราจะเพาะบ่มอารมณ์เหล่านั้นได้อย่างไร มันเริ่มต้นด้วยการจินตนาการนั่นเอง เมื่อเราจินตนาการ เราก็กำลังสร้างแบบร่างทางความคิดของความเป็นจริงที่เราต้องการให้มันเกิดขึ้น

เขาให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่การฝันกลางวันอย่างเปล่าประโยชน์ แต่เป็นการสร้างสรรค์อนาคตอย่างจงใจ โดยการมีอารมณ์ร่วมกับ Intention ของเรา เมื่อเราจดจ่ออยู่กับรายละเอียดของจินตนาการนั้น ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด อารมณ์ก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ราวกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงนั้นแล้ว ในที่สุดความจริงนั้นก็จะปรากฏให้เห็น

คุณให้ผ่อนคลายลึกลงไปและนึกถึงเวลาที่คุณเคยมีประสบการณ์แห่งความปิติหรือความสำเร็จที่บริสุทธิ์ คุณจดจำความรุนแรงของอารมณ์ในเวลานั้นได้หรือไม่ จงเกาะกุมความรู้สึกนั้นไว้ และสานต่อสู่เจตนารมณ์ของคุณ นี่คือพลังเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางไปสู่ความเป็นใหญ่เหนือความเป็นจริง

ต่อไปเรามาพูดถึงแรงต้านกันบ้าง ซึ่งเป็นศัตรูตามธรรมชาติของ Intention แรงต้านทานมักจะเกิดขึ้นจาก 2 สิ่ง คือความกลัว (Fear) และความเชื่อที่จำกัดตัวเองของเรา (Limiting Belief) มันคือเสียงกระซิบที่ทำให้คุณไม่อยากไปต่อ เช่นบอกว่าคุณไม่คู่ควรกับสิ่งที่คุณต้องการ ความฝันของคุณนั้นสูงเกินไป คุณจะล้มเหลว และความเป็นจริงมันจะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก

หากจะเอาชนะแรงต้านทาน สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือยอมรับมันก่อน เมื่อเริ่มมองเห็นความสงสัยในใจ ขอให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณ แต่เป็นเพียงกลไกป้องกันตัวเองเท่านั้นที่ไม่อยากให้คุณเดินทางไปในดินแดนที่คุณไม่รู้จัก หรือทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน หน้าที่ของคุณคือการค่อยๆ รื้อถอนกำแพงเหล่านี้ และเชื่อมั่นในคุณค่าและธรรมชาติของความเป็นจริงว่าตั้งใจแล้วก็จะไม่มีขีดจำกัดใดๆ

วิธีที่มีประสิทธิภาพในการละลายแรงต้านทานคือ Affirmation หรือการพูดซ้ำๆย้ำๆกับตัวเองในเชิงบวก ซึ่งเป็นประโยคคำพูดในทางบวกในรูปปัจจุบันกาล ที่ยืนยัน Intention ของเรา เมื่อคำเหล่านี้ถูกกล่าวด้วยความมุ่งมั่นมันก็จะหล่อหลอมจิตใต้สำนึกของเรา ถอนรากฐานแห่งความสงสัย และหว่านเมล็ดแห่งความเป็นไปได้แทน

ตัวอย่างของ Affirmation ง่ายก็มีดังตัวอย่างนี้

  • “ฉันสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม”
  • “ฉันสามารถจัดการกับงานนี้ได้”
  • “ฉันสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้”

สุดท้ายในส่วนของเทคนิคเรื่องความรู้สึก คือการไม่ยึดติด แม้จะดูเหมือนขัดแย้งกันเสียหน่อย แต่การปล่อยวางความยึดติดกับผลลัพธ์นั้นมีความสำคัญมาก ความยึดติดจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลและความกลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ชักนำให้ Intention ของเราพร่ามัวไปได้

การไม่ยึดติดไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจ แต่คือการรักษาสภาวะภายในให้สงบเข้าไว้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นั่นคือการไว้วางใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา

เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากการควบคุม และไว้วางใจในพลังของจักรวาลให้ทำหน้าทีต่อไป ความไว้วางใจนี้คือส่วนผสมสุดท้ายที่จะทำให้เจตนารมณ์ของเราเฟื่องฟู มันเป็นสัญญาณบอกจักรวาลว่าเราพร้อมแล้วที่จะรับ เราได้ทำหน้าที่ของเราเสร็จสิ้นแล้ว และตอนนี้เราก็ถอยออกมาและปล่อยให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้

3) Synchronicity ภวังค์สัมพันธ์

Synchronicity หรือ ภวังค์สัมพันธ์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันหรือตรงกันโดยบังเอิญ โดยที่เหตุการณ์ทั้งสองไม่มีเหตุปัจจัยทางวัตถุหรือกายภาพที่เชื่อมโยงกันเลย มันเป็นการเชื่อมโยงอย่างน่าอัศจรรย์ระหว่างเหตุการณ์ภายนอกกับสิ่งที่คิดหรือความฝันในจิตใจขณะนั้น ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้

บางคนอาจจะเรียกมันว่าความบังเอิญ จังหวะ หรือหากเป็นเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อมากๆว่าจะเกิดขึ้นได้ก็อาจจะเรียกว่าปาฎิหารย์ก็ได้ แต่ในโลกของควานตัมไม่มีคำว่าความบังเอิญ หรือปาฎิหารย์

Synchronicity เป็นความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับโลกภายนอก ที่แสดงให้เห็นว่ามีพลังแห่งจิตที่มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

Synchronicity คือวิธีของจักรวาลในการส่งสารถึงพวกเราเพื่อยืนยันว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางที่สิ่งที่เราต้องการกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นการบังเอิญที่ไม่คาดฝันแต่มีความหมายสำคัญ เหตุการณ์ทีเกิดขึ้นจะประจวบเหมาะกันพอดีจนเหมือนอาจจะเกิดได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมันก็มาเกิดขึ้นกับตัวเรา

เพื่อที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเทคนิคนี้และหันเอาความเป็นจริงมาเป็นประโยชน์แก่เราเอง เราจำเป็นต้องปรับจังหวะให้สอดคล้องกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของจังหวะพร้อมกันนี้ มันเริ่มต้นด้วยความตระหนัก เราจำเป็นต้องคมความรู้สึกของเราให้คมเพื่อที่จะจดจำเหตุการณ์เหล่านี้เมื่อมันเกิดขึ้น และเปิดใจให้กว้างเพื่อที่จะเข้าใจความหมายของมัน

ให้เราพิจารณาธรรมชาติของความเป็นจริงเสมือนผืนผ้าทอที่ถักทอจากเส้นด้ายแห่งชีวิต เหตุการณ์ และการตัดสินใจของแต่ละบุคคล เส้นด้ายเดี่ยวๆ อาจดูไร้ความหมาย แต่เมื่อรวมกันก็กลายเป็นลวดลาย Synchronicity ที่เกิดขึ้นคือเมื่อสองเส้นด้ายมาประสานกันอย่างลงตัว

หน้าที่ของเราคือสังเกตการจัดเรียงตัวดังกล่าว และตีความหมายของมันอย่างถูกต้อง เพื่อจะไม่ต้องตีโพยตีพาย หรือคิดว่าทอย่างมันคือเรื่องบังเอิญเท่านั้น เราต้องรู้จักรักษาให้มีความสงบภายใน การฝึกจิตและสมาธิให้สงบ

ความสงบในใจมันช่วยให้จิตใจไร้เสียงรบกวน ทำให้เราได้ยินเสียงกระซิบจากจักรวาล ในความเงียบของการฝึกสมาธิ คำตอบกจ็ะมาถึง ความเชื่อมโยงก็ปรากฏ และสัญชาตญาณภายในก็คมกริบ แต่จังหวะพร้อมกันไม่ได้หมายถึงเพียงการสังเกตการณ์อย่างเฉื่อยชา มันยังหมายถึงเรายังมีส่วนร่วมกับจักรวาลอย่างแข็งขัน

บางทีคนอาจสงสัยว่าเราจะแยกแยะระหว่าง Synchronicity หรือ ภวังค์สัมพันธ์ ที่แท้จริงกับเพียงการบังเอิญทั่วไปได้อย่างไร

สิ่งสำคัญคือการรู้สึกถูกต้องจากภายในจิตใจของเรา เมื่อเรามีความรู้สึกพิเศษ มีความหมายสำคัญ และรู้สึกมีคุณค่า นั่นคือสัญญาณจากภายในจิตใจที่บอกว่า ‘นี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว’ เมื่อพบสัญญาณเช่นนี้ ความรู้สึกซาบซึ้งและรู้คุณค่าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมที่สุด นั่นคือจังหวะที่แท้จริงของชีวิตเราเอง

นั่นคือการยอมรับว่าเราได้รับการสนับสนุน การชี้แนะ และกำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว

4) Flow (การไหลลื่น)

มาถึงตรงนี้เรามาสำรวจแนวคิดของสถานะของการไหลลื่น (Flow) กันดีกว่า

Flow หาคำภาษาไทยมาอธิบายได้ยากพอสมควร มันก็คือสภาวะที่เราจดจ่ออยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ช่วงเวลาที่เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และเรารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ทำอยู่ ทำให้เราทำสิ่งนั้นได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ คุณคงเคยได้ยินพูดมาบางแล้วว่า ลำลังอยู่ในภาวะทำงานอย่างรื่นไหล (หรือ I’m in the flow) มันก็คือความหมายเดียวกัน

เพื่อความสะดวกต่อไปจะเรียกสั้นๆว่า Flow สภาวะเช่นนี้ทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเราปรับตัวเข้ากับ Synchronicity และเรียนรู้ที่จะก้าวเข้าสู่สถานะ Flow ได้

เราจำเป็นต้องพิจารณาแนวคิดของเวลาด้วย เวลาในความหมายทางจิตวิญญาณนั้นไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นวงจร ไม่ใช่ชุดของช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นวงล้อที่หมุนไปไม่รู้จบ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตดำรงอยู่ร่วมกัน ความหมายสั้นๆคือในโลกของจิตวิญญาณคือไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต

เมื่อเราเข้าใจเวลาในมุมมองนี้ เราจะตระหนักว่าทุกช่วงเวลาเป็นโอกาสที่สามารถคว้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในชีวิตของเรา

สิ่งที่เราทำให้วันนี้เราจะเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราคาดหวังได้ในอนาคต ดังนั้นการกระทำของเราจึงต้องผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เลือกด้วยความมุ่งมั่นในเพื่อนผลในอนาคต เราเคยสังเกตเห็นช่วงเวลา Synchronicity ที่เราปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าเป็นเพียงบังเอิญหรือไม่

เราเคยรู้สึกถูกดึงดูดเข้าสู่สถานะ Flow แต่ยังคงยึดติดกับความสบายของสิ่งที่คุ้นเคยหรือไม่ ก็คือการยอมรับและการนำแนวคิดเหล่านี้มาปฏิบัติที่ทำให้เราเป็นนายเหนือความเป็นจริง

เราจะกลายเป็นผู้กำหนดของตนเอง ตระหนักและใช้ประโยชน์จากความสอดคล้องพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงประสานที่สอดรับกับความปรารถนาอันลึกซึ้งของเรา

5) การเปลี่ยนความยากลำบากเป็นโอกาส

เมื่อเราเดินทางไปสู่การเข้ากุมชะตาของตัวเองโดยเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น เราจะพบกับความจริงอันลึกซึ้งคือ ปัญหาอุปสรรคนั้นไม่ใช่สิ่งขัดขวางเรา

แต่เป็นเตาหลอมเพื่อฝึกฝนพลังของเราเองให้แข็งแกร่งขึ้น ความท้าทาย อุปสรรค และความล้มเหลวมิใช่เพียงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นบังเอิญ หากแต่เป็นโอกาสที่เราจะนำไปประยุกต์ใช้เทคนิคที่เราเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงแบบที่เราอาจจะไม่ได้คิดมาก่อนก็เป็นได้

ก้าวแรกในการเปลี่ยนความยากลำบากเป็นโอกาส คือการปรับมุมมองของเราต่อสิ่งท้าทาย แทนที่จะมองมันเป็นสิ่งกีดขวางเป้าหมาย เราสามารถเห็นมันเป็นปริศนาที่ต้องแก้ไข บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ หรือเป็นแรงต้านที่ทำให้เรามีพละกำลังมากขึ้น

เมื่อเราเปลี่ยนมุมมองในลักษณะนี้ เราได้ให้อำนาจแก่ตนเองในการเผชิญกับความยากลำบากอย่างมีสติและมุ่งมั่น แทนที่จะมีแต่ความกลัวและความพ่ายแพ้

ทุกสิ่งท้าทายที่เราเผชิญเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนมิติของตัวเราเองที่ต้องการความใส่ใจและการเติบโต มันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรามีความไม่สมดุล ความไม่ลงรอยระหว่างสภาวะภายในของเรากับความเป็นจริงที่เราต้องการ

ดังนั้นหน้าที่ของเราคือการสำรวจตนเองเพื่อค้นหาต้นตอของความยากลำบากที่เผชิญอยู่ ว่าตอนนี้ชีวิตเราขาดอะไร มีทักษะอะไรที่ต้องพัฒน หรือการรับมือกับปัญหาของเรายังไม่อยู่ในระดับที่จัดการปัญหาที่เข้ามาได้ หรือคุณภาพทางด้านอารมณ์ของคุณพร้อมหรือยังกับการเปลี่ยนแปลง กระบวนการสำรวจตนเองนี้ไม่ได้มุ่งตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง แต่เป็นการสังเกตตนเอง มันคือการเดินทางสู่ภายในเพื่อค้นพบความเชื่อที่จำกัดตนเอง

บางทีการสำรวจตัวเองอาจจะพบว่า ปัญหาและความยากลำบากมันมาจากความบอบช้ำในอดีต หรือบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปของอุปสรรคภายนอก

วิธีการจัดการความยากลำบาก

ขั้นตอนแรก ใช้เครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการเดินทางนี้ คือการเขียนบันทึกประจำวัน ด้วยการจดบันทึกความคิด อารมณ์ และประสบการณ์ของเรา

การบันทึกลงไปเราจะได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับรูปแบบที่วนซ้ำๆในชีวิต เราจะระบุความคิดที่ดึงเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้าไปไหนหรือไม่ และเรามีอารมณ์ที่ทำให้เราติดอยู่กับที่เดิมหรือเปล่า หลังจากได้เปิดเผยสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการแปรเปลี่ยนโดยจัดการต้นตอนั้นได้อย่างเหมาะสม

ขั้นตอนต่อไปในการเปลี่ยนความยากลำบากเป็นโอกาส คือการประยุกต์ใช้พลัง Intension หรือเจตนารมณ์ ซึ่งเราได้กล่าวถึงแล้ว เมื่อมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความยากลำบากที่กำลังเผชิญ เราสามารถตั้งเจตนารมณ์ใหม่ขึ้นมา เจตนารมณ์นี้ไม่ได้มุ่งแค่เอาชนะอุปสรรคเท่านั้น แต่เป็นการเติบโตให้พ้นจากมัน พัฒนาตนเองจนอุปสรรคนั้นไม่มีอำนาจเหนือเราอีกต่อไป

6) ลงมือทำ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เล็กๆน้อยก็ตาม

ถึงแม้เราจะเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว เราต้องตระหนักถึงบทบาทของการลงมือกระทำด้วย เจตนารมย์ เป้าหมาย และวิสัยทัศน์ (Intension, Goal และ Vision) คือแบบแปลนสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่การลงมือกระทำต่างหากที่จะสร้างรูปร่างให้กับความเป็นจริงใหม่ของเรา

การกระทำเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ และมีอารมณ์ของสิ่งที่เราปรารถนาแทรกอยู่ แต่เราควรลงมือกระทำอย่างไรบ้าง?

คำตอบคือการกระทำที่สอดคล้องกับตัวตนแท้ของเรา ไม่ใช่ทำอะไรมั่วๆสุ่มๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากหยุดก็หยุด แต่เป็นก้าวที่ตั้งใจและมีกลยุทธ์ สอดคล้องกับคุณค่าหลักและเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่นตั้งเป้าว่าจะมีเงิน 10 ล้านในห้าปีก็ต้องเริ่มต้นด้วยการหาแหล่งรายได้ สร้างแหล่งรายได้อย่างต่อเนื่อง พัฒนาตัวเองหาความรู้ มองหาโอกาสในการทำธุรกิจ ไม่ใช่เอาแต่เที่ยวเตร่ใช้เงินไปวันๆแล้วหวังว่าจะมีคนเอาเงินมากให้

สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือการรักษาสมดุลและความกลมกลืนภายในตนเองไว้ให้ได้ นี่คือจุดที่ปฏิบัติการต่างๆ เช่น สมาธิ ความใส่ใจต่อปัจจุบันขณะ และการดูแลตนเอง การสร้างสมดุลภายในการสร้างสมาธิทำให้เรามีความมั่นคงภายในในการเผชิญความวุ่นวายจากภายนอก เปรียบเสมือนสมอเรือที่ทำให้เราคงสภาพการณ์การตั้งหลักอยู่กลางสายลมพายุ

7) รู้จักปล่อยวาง

นอกจากนี้เราต้องยอมปล่อยวางการควบคุมด้วย อะไรก็ตามถ้าไปควบคุมมันทุกขั้นตอนมันย่อมเป็นอะไรที่อึดอัด เหนื่อยแบบไม่สมควรเหนื่อย เราต้องรู้จักปล่อยวางปล่อยให้กระบวนการดำเนินไปตามธรรมชาติของมันด้วย

ที่ในขณะที่เราแสวงหาการครองอำนาจกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง แต่เราต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกด้านของชีวิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของเรา ยังมีพลังอีกหลายอย่างที่กำลังแสดงบทบาทอยู่ เช่นเราควบคุมสภาพเศรษฐกิจสังคมของประเทศไม่ได้ เราไปคุมไม่ให้ฟ้าฝนให้เป็นไปตามใจเราต้องการไม่ได้ เราไปควบคุมเรื่องรถติด ลูกค้ายกเลิกนัด หรือราคาน้ำมันขึ้นลงไม่ได้

พลังของเราอยู่ที่ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการไหลของพลังเหล่านี้ และการค้นพบที่ตั้งของเราในแผนการอันยิ่งใหญ่ เมื่อเรียนรู้ที่จะเดินทางผ่านความยากลำบากด้วยสง่าและความยืดหยุ่นตัว

เราต้องมองว่า เราเป็นนักอาคมของชีวิตตนเอง เราแปรเปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นปัญญา ความกลัวให้เป็นความกล้าหาญ และความสับสนให้เป็นความชัดเจน โดยการเลือกที่จะปล่อยวางในบางเรื่องแต่ไปโฟกัดในเรื่องที่เราควบคุมได้ นั่นก็คือจิตใจและสภาวะภายในของตัวเรานั่นเอง แล้วในที่สุดเราก็จะก้าวสู่การบรรลุศักยภาพอันเต็มเปี่ยมของเรา

8) ความรู้สึกยินดีกับสิ่งที่ได้รับ (Gratitude)

สุดท้ายเราต้องมี Gratitude หรือการยินดีซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้รับ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นยินดีขอบคุณอากาศดีในยามเช้า ยินดีกับหรือกาแฟแก้วเล็กๆ Gratitude เปลี่ยนแปลงความความถี่ในตัวเราให้เราสอดคล้องกับความถี่แห่งความมั่งคั่งและความสำเร็จ ยิ่งซาบซึ้งยินดีขอบคุณกับสิ่งต่างๆมากเท่าไหร่เราก็จะได้สิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตมากขึ้นๆ

นอกจากนั้นเมื่อเรามี Gratitude ต่อบทเรียนของความยากลำบาก เราส่งสัญญาณไปยังจักรวาลว่าเราพร้อมสำหรับการเติบโตมากขึ้น พรมากขึ้น และโอกาสมากขึ้นในการขัดเกลาการครองอำนาจของเรา

เทคนิคในเปลี่ยนความยากลำบากเป็นโอกาส ไม่ได้เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงความยากลำบาก แต่เป็นการนำมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นจริงแห่งความเข้มแข็งและปัญญา เปรียบได้คือการเคมีแปรธาตุที่แปรเปลี่ยนโลหะต่ำของความลำบากให้เป็นทองคำแห่งชัยชนะ

ในตอนสุดท้ายนี้ เราได้บรรลุจุดสูงสุดในการสำรวจการครองอำนาจเหนือความเป็นจริง หลังจากได้เดินทางผ่านเจตนารมณ์ ความสอดคล้องพร้อมกัน การไหลเวียน และพลังในการแปรเปลี่ยนของความยากลำบากแล้ว

ผลรวมของความคิด เจตนาอารมณ์ และการกระทำ คือสิ่งที่จำทำให้คุณได้ทุกอย่างที่ปราถนา

การสร้างอนาคตที่สดใส อนาคตที่เราต้องการก็เปรียบเสมือนการทอผ้าศิลปะรูปลายที่สวยงามชิ้นหนึ่งของคุณ เพื่อเป็นการสรุป เราจะเปรียบให้เห็นภาพการทอผ้าศัลปะอันยิ่งใหญ่นี้ดังต่อไปนี้

ตัวเราคือช่างฝีมือและด้วยฝีมือประณีตเราสามารถสร้างลวดลายอันงดงามและยิ่งใหญ่ได้ ขณะที่โลกแห่งอนุภาคซึ่งเป็นเนื้อผ้าพื้นฐานของจักรวาลของเรานั้นไวต่อการสั่นสะเทือนเล็กน้อยของเจตนารมณ์ของเรา

จักรวาลนี้คือเนื้อผ้า เนื้อผ้าที่เรามีถูกหล่อหลอมจากการสานทับของทางเลือก (Choice) และความเชื่อ (Belief) ของเรา นี่คือจุดที่เส้นด้ายแห่งความเป็นไปได้มาบรรจบและแยกย้าย จุดที่รูปแบบของความเป็นจริงของเราถูกก่อร่างขึ้นในกี่ทอสานของกาลเวลาและพื้นที่ เช่นเดียวกับผืนผ้าทอที่ถูกหล่อหลอมรูปร่างจากเส้นด้ายแต่ละเส้นที่ประกอบกันขึ้น

เมื่อเข้าใจในเรื่องนี้เราจะเห็นว่าการสร้างสรรค์งานชิ้นนี้เริ่มจาก เจาะจงในเจตนารมณ์ และกลมกลืนในการกระทำ ทุกความคิด ทุกอารมณ์ และทุกการกระทำล้วนเป็นเส้นด้ายในผืนผ้าทออนุภาค ส่งผลต่อรูปแบบที่คลี่คลายของกรรมนิยมของเรา

การตั้งเจตนารมณ์ (Intension) การไหลลื่นของความคิด การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน ก็คือสภาวะของความสอดประสานระหว่างจิตใจและจักรวาล การทอผ้าอย่างมีประสิทธิภาพเราต้องก้าวเข้าสู่สภาวะของความสอดประสาน นั่นคือสภาวะที่หัวใจ จิตใจ และวิญญาณของเราอยู่ในสภาพสอดคล้องกัน

ในสภาวะไม่สอดประสานรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพของร่างกายเราสั่นพ้องไหวกับความถี่ของสนามสากล ความสั่นพ้องไหวนี้เพิ่มความสามารถในการสร้างสรรค์ของเรา ทำให้เราสามารถมีอิทธิพลต่อสนามอนุภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การฝึกสมาธิและใช้หัวใจเป็นศูนย์กลางเป็นเครื่องมือสำหรับบรรลุภาวะสอดประสาน มันปรับจังหวะการมีชีวิตของเราให้เข้ากับจังหวะของจักรวาล ทำให้ความถี่ส่วนบุคคลของเราสอดประสานกับองค์ประธานเสียงแห่งจักรวาล ในสภาวะนี้ เจตนารมณ์ของเราเปรียบเสมือนโน้ตที่บรรเลงไปอย่างกลมกลืนกับบทเพลงแห่งการดำรงอยู่

รู้ปจักปล่อยวาง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ปล่ยอให้จักรวาลดำเนินไปตามแนวทางของมัน เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความยึดติดกับผลลัพธ์เฉพาะ ไว้วางใจในการจัดการสิ่งต่างๆของจักรวาล เชื่อมั่นว่าผืนผ้าทอของเราคือผลงานศิลปะที่มีชีวิตที่กำลังอยู่ในกระบวนการถักสานอยู่ตลอดเวลา

การกระทำหรือการลงมือปฏิบัติก็เปรียบเสมือนพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างการทอผ้า ในการเป็นหุ้นส่วนระหว่างเจตนารมณ์ของเรากับเจตนารมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นให้เรามุ่งสู่กี่ทอสานแห่งความเป็นจริงด้วยความเคารพและความปีติ ด้วยความมั่นใจของผู้เชี่ยวชาญและความนอบน้อมของผู้เรียนรู้ ให้เราทอผ้าด้วยความกล้าหาญและความประณีต ด้วยความรู้ว่าเส้นด้ายทุกเส้นที่เราวางลงคือการกระทำของพลังอำนาจ เป็นการประกาศบทบาทของเราในฐานะผู้สร้างสรรค์ที่มีสติสำนึก

เมื่อจบการเดินทางครั้งนี้ ให้สะท้อนกลับไปยังความมหัศจรรย์ที่เป็นชีวิตของคุณ แต่ละช่วงเวลา แต่ละการตัดสินใจล้วนเป็นรอยเข็มที่ปักลงบนผืนผ้าทอของกรรมนิยมของคุณ ด้วยความรู้และเทคนิคที่คุณมีอยู่ คุณมีพลังในการสร้างผืนผ้าทออันงดงามจนน่าอัศจรรย์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *