หลักการ Living in the End (อยู่ในภาวะราวกับว่าสำเร็จความปรารถนาแล้ว) คืออะไร และทำอย่างไร

คุณอาจเคยได้ยินคำว่า Living in the End ที่บัญญัติโดยเนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) มาแล้ว ถ้าแปลตรงๆความหมายก็คือ ”การใช้ชีวิตในตอนจบ” อ้าว…อ่านหรือฟังแล้วจะดูงงๆหน่อย แถมดูน่ากลัวอีก อะไรคือตอนจบ จบแล้วจะเป็นยังไงต่อ หรือว่าหมายถึงให้ใช้ชีวิตให้เหมือนก่อนตายหรือไง ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าใช่ ดังนั้นถ้าแปลตามตัวอักษรตรงๆจะไม่เข้าใจความหมายเลย แถมยังสร้างคำถามใหม่เข้ามาอีก

หากศึกษาเนื้อหาที่เนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) สอนมาพอสมควรจะเริ่มเข้าใจว่าเขาหมายถึง “การดำเนินชีวิตโดยยึดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นหลัก” ซึ่งก็คือยึดผลลัพธ์ที่ต้องการแล้วใช้ชีวิตให้ได้แบบผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น ความหมายนี้ดีขึ้นมาหน่อยพอเข้าใจได้แต่ก็ยังคลุมเคลืออยู่เพราะใช้คำซับซ้อนไปหน่อย

แต่ถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้นมาอีกนิด มันก็คือ “การทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้ว” ถ้าแปลเป็นภาษาชาวบ้านให้ง่ายๆอีกนิดคือ การทำตัวและใช้ชีวิตราวกับว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ทำสำเร็จแล้ว

ตัวอย่าเช่นถ้าอยากรวย ก็ต้อง Living in the End แบบคนรวยคือ ใช้ชีวิตราวกับว่ารวยแล้ว (แต่เดี๋ยวก่อนไม่ใช่ไปใช่จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หรือใช้เงินเกินตัวนะ)

จะเห็นว่า การทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้วไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการดึงดูดสิ่งที่คุณปรารถนาต่างหาก ทันทีที่คุณได้รับความรู้สึกของผลลัพธ์สุดท้ายแล้ว ความเป็นจริงจะหาวิธีที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้เอง ตรงนี้คือจุดสำคัญ

ฟังดูแล้วมันน่าจะยุ่งยากวุ่นวาย แถมความน่ากลัวก็ไม่ได้หายไปเท่าไหร่ คือที่เราจะไปอยู่ในภาวะที่ทำสำเร็จแล้วได้ยังไงก็เรายังไม่ได้ทำสำเร็จเลย

จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เนวิลล์ ก็อดดาร์ด พบว่ามันง่ายมากที่จะดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ พร้อมกับจินตนาการหรือแกล้งทำเป็นว่าเขาได้รับสิ่งที่เขาปรารถนาแล้ว เขาจะทำตัวราวกับว่าเขามีมันแล้ว รู้สึกถึงมัน และใช้ชีวิตอยู่กับมัน ซึ่งมันมหัศจรรย์มากถ้าคุณทำแบบนั้นได้ แต่มีมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ คนไหนบ้างล่ะที่จะทำได้?

คุณสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตโดยยึดเป้าหมายเป็นหลักในเรื่องเล็กๆ หรือคุณจะตั้งเป้าไว้ใหญ่ๆ ก็ได้ มันไม่สำคัญสำหรับจักรวาลเลย สิ่งที่ใหญ่ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เล็กสำหรับจักรวาล สิ่งเหล่านั้นใหญ่และเล็กแค่สำหรับเราเท่านั้น อันที่จริงแล้ว ทุกอย่างก็แค่พลังงาน

ลองนึกภาพว่าคุณรู้สึกอย่างไรถ้าคุณมีสิ่งนั้นหรือคนที่คุณปรารถนา โปรดจำไว้ว่า ผู้คนก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งของหรือเหตุการณ์ทางวัตถุ ลองค้นหาความรู้สึกนั้นภายในตัวคุณ มันอาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หรืออาจจะไม่ก็ได้ แต่มันแตกต่างกันไปสำหรับทุกคน ไม่มีวิธีที่ถูกหรือผิดจริงๆ ในการทำสิ่งนี้

ที่กล่าวมาทั้งหมดคือไอเดียคร่าวๆของ Living in the End การทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้ว ซึ่งเนื้อหาในบทต่อๆไปเราจะศึกษาลึกลงไปในรายละเอียด รวมถึงวิธีการ เทคนิค และขั้นตอนในการทำกระบวนการดังกล่าว ดั่งที่ เนวิลล์ ก็อดดาร์ด ได้ทำและพิสุจน์ด้วยตัวเองมาแล้วว่าได้ผล และสอนลูกศิษย์ให้ทำวิธีเดียวกันและได้ผลมาแล้วทั่วโลก

ในหาในบทนี้อเราจะนำเสนอ วิธีการกำหนดชีวิตของคุณโดยการเปลี่ยนแปลงสภาวะภายในจิตสำนึกของคุณ โดยใช้วิธีการ Living in the End อิงตามคำสอนของเนวิลล์ กอดดาร์ด เพื่อสะท้อนความปรารถนาของคุณสู่โลกภายนอก

เนื้อหานี้มุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจที่ว่า จิตสำนึกเป็นจริงแท้เพียงสิ่งเดียว โดยเน้นย้ำว่าทุกสิ่งที่คุณรับรู้ในโลกความเป็นจริง ล้วนเป็นภาพสะท้อนของจิตสำนึกของคุณเอง ดังนั้นถ้าคุณส่งชุดคำสั่งที่ทำให้จิตใต้สำนึกส่งภาพสะท้อนอย่างที่คุณต้องการ โลกความเป็นจริงภายนอกของคุณก็จะเป็นตามที่คุณต้องการ

ในเนื้อหาบทนี้คุณจะได้เรียนรู้:

  • คำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับหลักการ “การทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้ว” ตามคำสอนของเนวิลล์ กอดดาร์ด
  • ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อรวบรวมและทำให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริงตามคำสอนของกอดดาร์ด
  • ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพลังของจินตนาการและการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของปรัชญาของกอดดาร์ด
  • สร้างจินตนาการผ่านการกระทำ และปลุกเร้าอารมณ์ร่วม เพื่อดึงความฝันของคุณเข้ามาสู่โลกที่มองเห็นได้
  • กลยุทธ์ในการรักษาความรู้สึกราวกับว่าความปรารถนาของคุณสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญที่กอดดาร์ดสอนไว้

ความสำคัญของความเพียรพยายามแม้จะมีข้อสงสัย และบทบาทของศรัทธาในการแสดงออก ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในคำสอนของกอดดาร์ด ร่วมเดินทางไปกับเราเพื่อทำความเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ในการชี้แจงความปรารถนาของคุณ

ต่อไปนี้เป็นปาฐกถาเรื่อง Living in the End การทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้ว ในปี พ.ศ. 2511 โดยมีเนื้อหาดังนี้

ค่ำคืนนี้เราจะเจาะลึกหลักการที่เป็นหัวใจสำคัญของศิลปะแห่งการแสดงออก หลักการที่ข้าพเจ้าเรียกว่า “Living in the Endการทำตัวอยู่ในภาวะที่สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จแล้ว” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการนำความปรารถนาอันลึกซึ้งที่สุดมาสู่ความเป็นจริง

การใช้ชีวิตอยู่ในสำเร็จแล้วหมายถึงการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักความเชื่อที่ว่าคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงแค่การคิดบวกหรือการนึกภาพ แต่เป็นการยอมรับอย่างสมบูรณ์และการตระหนักทางอารมณ์ว่าความปรารถนาของคุณสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ในอนาคต แต่วินาทีนี้เลย

แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการคิด ความรู้สึก และการกระทำราวกับว่าสิ่งที่คุณปรารถนานั้นเกิดขึ้นจริงแล้ว แม้จะไม่มีหลักฐานใดมาสนับสนุนก็ตาม รากฐานของแนวคิดนี้คือความเข้าใจที่ว่า จิตสำนึกเป็นจริงแท้เพียงสิ่งเดียว ทุกสิ่งที่คุณรับรู้ รวมทั้งโลกทางกายภาพล้วนเป็นภาพสะท้อนของจิตสำนึกของคุณเอง

ดังนั้นด้วยการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของคุณคุณจึงสามารถปรับเปลี่ยนความเป็นจริงของคุณได้ เมื่อคุณใช้สถานะของจิตสำนึกเพื่อให้ความปรารถนาของคุณสำเร็จ จิตสำนึกของคุณก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงโลกรอบตัวคุณให้สะท้อนถึงสถานะภายในของคุณ

ตอนนี้ให้เราหันมาสนใจกับการนำความจริงนี้ไปปฏิบัติ ต่อไปจะเป็นการสรุปขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้เพื่อรวบรวมและทำให้หลักการของการใช้ชีวิตอยู่ในจุดหมายเป็นจริง ขั้นตอนเหล่านี้ไม่ใช่แค่การฝึกฝน แต่เป็นการแสดงออกถึงศรัทธาและการสร้างสรรค์อย่างลึกซึ้ง

หากทำตามขั้นตอนเหล่านี้คุณจะมีส่วนร่วมการนำสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าสู่โลกที่มองเห็นได้ นำสิ่งที่ไม่มีรูปร่างมาสู่สิ่งที่มีรูปร่าง

จงทำตามขั้นตอนเหล่านี้ด้วยจิตวิญญาณที่จริงจังและเต็มเปี่ยมด้วยความสุข เพราะสิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพอันไร้ขอบเขตของจินตนาการและพลังแห่งการสันนิษฐานของคุณเอง

  • ขั้นตอนแรก คือการชี้แจงความปรารถนาของคุณให้ชัดเจน กำหนดสิ่งที่คุณต้องการให้สำเร็จอย่างแน่ชัด ความปรารถนาที่คลุมเครือย่อมให้ผลลัพธ์ที่คลุมเครือ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเจาะจง
  • ขั้นตอนที่สอง คือการสร้างจินตนาการผ่านการกระทำ พัฒนาภาพเหตุการณ์ที่แสดงถึงความสำเร็จของความปรารถนาของคุณ ภาพเหตุการณ์นี้ควรกระชับและเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับประสาทสัมผัสและอารมณ์ความรู้สึก ได้ยินเสียง สัมผัสพื้นผิว และรับรู้ถึงอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ
  • ขั้นตอนที่สาม คือการดึงอารมณ์ร่วมเข้ามาใช้ในขณะที่คุณสร้างภาพจินตนาการ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องมีส่วนร่วมทางอารมณ์ราวกับว่าความปรารถนาของคุณนั้นได้กลายเป็นความจริงของคุณไปแล้ว เสียงสะท้อนทางอารมณ์จะช่วยเสริมสร้างให้ภาพเหตุการณ์ในจิตสำนึกของคุณนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
  • ขั้นตอนที่สี่ คือการทำซ้ำๆ จดจ่ออยู่กับจินตนาการผ่านการกระทำของคุณเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนเข้านอน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จิตใต้สำนึกของคุณอ่อนไหวที่สุด
  • ขั้นตอนที่ห้า คือการรักษาความรู้สึก พกพาความรู้สึกราวกับว่าความปรารถนาของคุณบรรลุผลแล้วไปในชีวิตประจำวันของคุณ ไม่ใช่การปฏิเสธความเป็นจริงในปัจจุบัน แต่เป็นการนำความเป็นจริงที่คุณเลือกไปซ้อนทับไว้ จนกว่ามันจะกลายเป็นความจริงที่คุณใช้ชีวิตอยู่
  • และขั้นตอนที่หกคือ การยืนหยัดแม้จะเกิดความสงสัย ความคงเส้นคงวาในการรักษาสถานะที่คุณสันนิษฐานไว้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การรักษาความปรารถนาให้สำเร็จ (แม้ว่าจะมีความสงสัยหรือหลักฐานที่ขัดแย้งจากโลกภายนอก) นี่คือจุดที่ศรัทธาเข้ามามีบทบาท โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมซึ่งจะนำคุณไปสู่การใช้ชีวิตจากสถานะที่คุณปรารถนา

การลงมือปฏิบัติตามที่คุณจินตนาการไว้นั้นจะค้นหาเส้นทางของพวกมันเองไปสู่ความเป็นจริง ดังนั้น คุณต้องใช้ชีวิตของคุณจากสถานะที่ปรารถนาให้สำเร็จแล้ว

หัวใจสำคัญของการปฏิบัตินี้คือแทนที่จะพยายามไขว่คว้าสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ให้คุณคิดและทำสิ่งต่างๆราวกับว่าคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในโอกาสและเส้นทางที่เกิดขึ้นต่อหน้าคุณ

ลองพิจารณาตัวอย่างของการใช้ชีวิตอยู่ในจุดหมายนี้ สมมติว่ามีคนหนึ่งปรารถนาอาชีพใหม่ แทนที่จะเพียงแค่ปรารถนาให้มันเกิดขึ้นพวกเขาเริ่มที่จะสวมใส่เสื้อผ้าหรือยูนิฟอร์มของงานใหม่ เขาสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจราวกับว่าได้มีอาชีพนั้นแล้วในตอนนี้ พวกเขาจัดการการกระทำให้สอดคล้องกับสถานะนี้ รวมถึงการสร้างเครือข่ายและการพัฒนาทักษะราวกับว่าบทบาทดังกล่าวได้เป็นของพวกเขาแล้ว และพูดคุยด้วยความมั่นใจของคนที่ประสบความสำเร็จในสาขานั้นแล้ว ในที่สุดเขาก็จะบรรลุเข้าหมายคือได้อาชีพใหม่อย่างที่ต้องการ

บทบาทของศรัทธาคืออะไร?

ศรัทธาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องทางศาสนาเท่านั้น แต่มันคือความจงรักภักดีต่อความจริงที่เรายังมองไม่เห็น เป็นความมั่นใจในสิ่งที่เราปรารถนา เป็นความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรายังไม่เห็น

ในการฝึกฝนกฎแห่งการดึงดูดนี้ ศรัทธาในตัวคุณ ของคุณ ความจงรักภักดีต่อความเชื่อมั่นที่เรายังมองไม่เห็นนั้นจะถูกทดสอบ แต่จำไว้ว่าศรัทธาและความเพียรพยายามนี้แหละที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสถานะปัจจุบันของเรากับการที่ความปรารถนาของเราจะกลายเป็นจริง

บทสรุปเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและจินตนาการ

การใช้ชีวิตอยู่ในจุดหมายไม่ได้เป็นการกระทำที่เฉื่อยชา แต่มันเป็นการกระทำอย่างแข็งขันและต่อเนื่องที่อาศัยจินตนาการ ศรัทธา และความเพียรพยายาม การปฏิบัตินี้ผลักดันให้เราก้าวเข้าสู่ความเป็นจริงที่เราปรารถนาได้อย่างเต็มที่และมั่นใจ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจากภายในสู่ภายนอก

จำไว้ว่าจินตนาการของคุณทรงพลังมาก มันคือพลังสร้างสรรค์ที่หล่อหลอมเนื้อผ้าแห่งความจริง ให้เราใช้จินตนาการของเราอย่างชาญฉลาดและสร้างความสุข เพื่อสร้างชีวิตที่เราปรารถนา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *