บทที่ 2 หลักการเฮอร์เมติกทั้ง 7
“หลักแห่งความจริงนั้นมีเจ็ดประการ ผู้ที่รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ จะได้ครอบครองกุญแจวิเศษ ซึ่งจะเปิดประตูทุกบานของวิหารให้เมื่อสัมผัส” — ไคบาเลียน (The Kybalion)
หลักการเฮอร์เมติกทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นรากฐานทั้งหมดของปรัชญาเฮอร์เมติกมีดังนี้:
I. หลักจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือหลักจิตนิยม (THE PRINCIPLE OF MENTALISM)
II. หลักการสอดคล้อง (THE PRINCIPLE OF CORRESPONDENCE)
III. หลักการสั่นสะเทือน (THE PRINCIPLE OF VIBRATION)
IV. หลักการขั้ว (THE PRINCIPLE OF POLARITY)
V. หลักการของจังหวะ (THE PRINCIPLE OF RHYTHM)
VI. หลักการของเหตุและผล (THE PRINCIPLE OF CAUSE AND EFFECT)
VII. หลักการของเพศ (THE PRINCIPLE OF GENDER)
หลักการทั้งเจ็ดนี้จะได้รับการพูดถึงและอธิบายเพิ่มเติมในการเรียนบทต่อๆ ไป อย่างไรก็ตาม คำอธิบายสั้นๆ ของแต่ละหลักการก่อนแล้วค่อยเจาะลึกในรายละเอียดของแต่ละหลักการทีละบท
หลักการที่ 1 หลักการแห่งจิตนิยม (หลักการแห่งจิต) – The principle of mentalism
“สรรพสิ่งคือจิต จักรวาลคือความคิด” — ไคบาเลียน
หลักการนี้บอกเราว่า “สรรพสิ่งล้วนเกิดจากจิตใจ” มันอธิบายว่า สรรพสิ่ง (ซึ่งเป็นความจริงแท้ที่อยู่ภายใต้สิ่งที่เราเห็นในโลก อย่าง “โลกแห่งวัตถุ” “ปรากฏการณ์แห่งชีวิต” “สสาร” “พลังงาน” หรือทุกอย่างที่เรารับรู้ได้) แท้จริงแล้วคือวิญญาณ ซึ่งเราไม่อาจนิยามหรือเข้าใจได้ทั้งหมด แต่มันก็เปรียบเสมือนจิตที่ยิ่งใหญ่ เป็นอนันต์ และมีชีวิต
หลักการนี้ยังบอกอีกว่า โลกหรือจักรวาลที่เราเห็นอยู่นี้ ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในจิตของสรรพสิ่งนั้นเอง (จะอธิบายความหมายของคำว่า ‘สรรพสิ่ง’ ในบทหลัง แต่ในที่นี้ขอให้เข้าใจว่า สรรพสิ่งคือ พลังจักรวาล หรือผู้สร้าง) มันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสิ่งที่ถูกสร้าง และทั้งจักรวาลนี้ รวมถึงทุกส่วนประกอบของมัน ดำรงอยู่ในจิตของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เรา “ดำเนินชีวิตและมีตัวตนอยู่”
พอเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของจักรวาลว่าเกิดจากจิตใจ เราก็จะเข้าใจปรากฏการณ์ทางจิตใจและพลังจิตต่างๆที่คนให้ความสนใจกันมากโดยที่แต่ก่อนอธิบายไม่ได้
หลักการของศาสตร์ลับโบราณที่ว่าด้วยจิตนิยมนี้จะช่วยให้แต่ละคนเข้าใจกฎต่างๆ ของจักรวาลแห่งจิตใจ และนำไปใช้พัฒนาชีวิตตัวเองได้ นักเรียนแห่งศาสตร์ลับจะสามารถใช้กฎของจิตอย่างชาญฉลาดแทนที่จะใช้แบบมั่วๆ พอมีกุญแจสำคัญนี้อยู่ในมือ ก็เหมือนเราจะสามารถไขประตูแห่งวิหารความรู้ทั้งทางจิตใจและพลังจิต แล้วเข้าไปได้อย่างเข้าใจ
หลักการนี้จะไขความจริงเกี่ยวกับ “พลังงาน” “อำนาจ” และ “สสาร” ว่าทั้งหมดนี้ถูกควบคุมโดยพลังจิตได้อย่างไร
หนึ่งในปรมาจารย์ของศาสตร์ลับเคยเขียนไว้เมื่อนานมาแล้วว่า “ผู้ใดเข้าใจในธรรมชาติแห่งจิตของจักรวาล ผู้นั้นอยู่บนเส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญแล้ว” คำพูดนี้ยังจริงอยู่เสมอแม้ในปัจจุบัน ถ้าไม่มีกุญแจสำคัญนี้ การจะเป็นปรมาจารย์ก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามเคาะประตูแห่งวิหารมากแค่ไหนก็ตาม”
หลักการที่ 2 หลักการแห่งความสอดคล้อง – The principle of correspondence
“ด้านบนเป็นเช่นไร ด้านล่างก็เป็นเช่นนั้น; ด้านล่างเป็นเช่นไร ด้านบนก็เป็นเช่นนั้น” — ไคบาเลียน
หลักการนี้แสดงให้เห็นว่า กฎเกณฑ์และสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกายภาพ ความคิด หรือจิตวิญญาณ มันสัมพันธ์กันหมดเลยนะ คำสอนโบราณบอกไว้ว่า “ด้านบนเป็นยังไง ด้านล่างก็เป็นอย่างนั้น ด้านล่างเป็นยังไง ด้านบนก็เป็นอย่างนั้น” พอเราเข้าใจหลักการนี้ เราก็จะไขปริศนาและความลับของธรรมชาติได้เยอะเลย
มันมีโลกอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักอีกเยอะ แต่พอเราใช้หลักการแห่งการ้องคล้องสัมพันธ์ เราก็จะเข้าใจสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้มากขึ้น หลักการนี้ใช้ได้กับทุกอย่างเลย ทั้งในโลกวัตถุ ความคิด หรือแม้แต่จิตวิญญาณ มันเป็นกฎของจักรวาล นักเล่นแร่แปรธาตุสมัยก่อนถือว่านี่เป็นเครื่องมือสำคัญทางความคิดที่ทำให้คนเราเข้าถึงสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ได้ การใช้หลักการนี้ เหมือนกับเราเปิดผ้าคลุมเทพธิดาไอซิส* ออกมาเพื่อจะได้เห็นใบหน้าของเธอเลยทีเดียว
ลองนึกถึงเวลาที่เราเรียนเรขาคณิต เราสามารถวัดระยะทางของดวงดาว แม้จะนั่งอยู่ในห้องดูดาวเฉยๆ หลักการแห่งการ้องคล้องสัมพันธ์ก็เหมือนกัน พอเราเข้าใจมัน เราจะสามารถหาเหตุผลจากสิ่งที่เรารู้ ไปสู่สิ่งที่เราไม่รู้ได้ ถ้าเราศึกษาดูสิ่งเล็กๆ อย่างโมแนด* เราจะเข้าใจสิ่งยิ่งใหญ่ระดับเทวทูตได้เลย
หลักการที่ 3 หลักการแห่งการสั่นสะเทือน – The principle of vibration
“ไม่มีสิ่งใดอยู่นิ่ง ทุกสิ่งเคลื่อนไหว ทุกสิ่งสั่นสะเทือน” — ไคบาเลียน
ทุกสิ่งในจักรวาลนี้เคลื่อนไหวอยู่ตลอด” “ทุกอย่างสั่นสะเทือน” “ไม่มีอะไรอยู่นิ่งๆ เลย” ซึ่งจริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยืนยันเรื่องนี้แล้ว ทุกการค้นพบใหม่ๆ ก็ยิ่งตอกย้ำเรื่องนี้เข้าไปอีก แต่นักเล่นแร่แปรธาตุอียิปต์โบราณเขาประกาศหลักการนี้มาเป็นพันๆ ปีแล้วนะ
หลักการนี้จะอธิบายว่า ทำไมสสาร พลังงาน ความคิด หรือแม้แต่จิตวิญญาณถึงดูแตกต่างกัน ก็เพราะว่าทุกอย่างมันสั่นสะเทือนในความเร็วที่ต่างกัน เริ่มตั้งแต่สรรพสิ่งซึ่งเป็นจิตบริสุทธิ์ลงมาถึงสสารหยาบๆ ทุกอย่างสั่นสะเทือนทั้งนั้น ยิ่งสั่นเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนอยู่ระดับที่สูงขึ้นเท่านั้น
การสั่นของจิตวิญญาณนี่ทั้งเร็วและแรงมากจนเหมือนอยู่นิ่งๆ เหมือนเวลาล้อหมุนเร็วๆ แล้วเราดูเหมือนมันไม่ขยับเลย ส่วนอีกด้านหนึ่งของสเกลนี้ จะเป็นสสารหยาบๆ ที่การสั่นช้ามากจนเหมือนอยู่นิ่งๆ แต่ระหว่างสองขั้วนี้ ยังมีการสั่นเป็นล้านๆ ระดับเลยนะ
ตั้งแต่ระดับเล็กจิ๋วอย่างอนุภาค อิเล็กตรอน อะตอม โมเลกุล ไปจนถึงโลกหรือจักรวาล ทุกอย่างล้วนเคลื่อนไหวผ่านการสั่นสะเทือนทั้งนั้น แม้แต่ในระดับของพลังงาน (ซึ่งก็เกิดจากการสั่นที่ระดับต่างกัน) หรือในระดับความคิด (ที่สภาวะต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับการสั่น) หรือแม้แต่ระดับจิตวิญญาณก็ด้วย
พอเราเข้าใจหลักการนี้ และใช้สูตรที่ถูกต้อง นักเล่นแร่แปรธาตุจะควบคุมการสั่นสะเทือนทางความคิดของตัวเองและของคนอื่นๆ ได้เลย พวกปรมาจารย์ยังใช้หลักการนี้เอาชนะปรากฎการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ อีกด้วย นักเขียนสมัยก่อนบอกว่า “ใครเข้าใจหลักการแห่งการสั่นสะเทือน คนนั้นมีอำนาจอยู่ในมือ
หลักการที่ 4 หลักการการมีสองขั้ว – The principle of polarity
“ทุกสิ่งมีสองด้าน ทุกสิ่งมีขั้วตรงข้าม ทุกสิ่งมีคู่ตรงข้าม
สิ่งที่เหมือนและไม่เหมือนกันนั้นก็คือสิ่งเดียวกัน สิ่งที่ตรงกันข้ามมีธรรมชาติเหมือนกัน แต่มีระดับที่แตกต่างกัน สุดขั้วทั้งสองมาบรรจบกัน ความจริงทั้งหมดเป็นเพียงครึ่งเดียวของความจริง ความขัดแย้งทั้งหมดสามารถหาจุดร่วมกันได้” — ไคบาเลียน
หลักการนี้แสดงให้เห็นความจริงที่ว่า “ทุกอย่างมีสองด้าน” “ทุกอย่างมีขั้วตรงข้าม” และ “ทุกอย่างมีสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคติพจน์เก่าแก่ของปรัชญาเฮอร์เมติก
หลักการนี้ช่วยอธิบายความขัดแย้งต่าง ๆ ที่สร้างความสับสนให้กับคนมานักต่อนัก ดังเช่นที่เคยกล่าวไว้ว่า:
- “สิ่งหนึ่งและสิ่งที่ตรงข้ามกัน มีธรรมชาติที่เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ระดับความเข้มข้น”
- “สิ่งตรงข้ามนั้นเหมือนกัน ต่างกันแค่ระดับเท่านั้น”
- “สิ่งตรงข้ามทุกคู่สามารถหาจุดร่วมกันได้”
- “สุดขั้วสองด้านจะมาบรรจบกัน”
- “ทุกอย่างเป็นจริงและไม่จริงไปพร้อมกัน”
- “ทุกความจริงเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของความจริง”
- “ทุกสิ่งทุกอย่างมีสองด้านเสมอ”
- ฯลฯ
หลักการนี้อธิบายว่า ทุกสิ่งมีสองขั้วหรือสองด้านที่ตรงข้ามกัน โดยที่สิ่งที่ “ตรงข้าม” กันนั้นแท้จริงแล้วเป็นขั้วสองด้านของสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มีระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันมาก
ลองคิดแบบนี้ดู: ความร้อนและความเย็น แม้จะอยู่ตรงข้ามกัน แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งเดียวกัน ความแตกต่างอยู่แค่ระดับของสิ่งนั้น
ลองมองไปที่เทอร์โมมิเตอร์ของคุณสิ แล้วบอกได้ไหมว่าจุดไหนคือจุดสิ้นสุดของ “ความร้อน” และจุดเริ่มต้นของ “ความเย็น”!
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ความร้อนสูงสุด” หรือ “ความเย็นสูงสุด” คำว่า “ความร้อน” และ “ความเย็น” เป็นแค่ตัวบ่งบอกระดับที่แตกต่างกันของสิ่งเดียวกัน โดยสิ่งที่แสดงออกมาเป็น “ความร้อน” และ “ความเย็น” นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการสั่นสะเทือนเท่านั้น
ดังนั้น “ความร้อน” และ “ความเย็น” จึงเป็นเพียง “สองขั้ว” ของสิ่งที่เราเรียกว่า “อุณหภูมิ” และปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมาก็เป็นการแสดงออกของหลักการแห่งขั้วตรงข้าม นั่นเอง
หลักการนี้ยังปรากฏชัดในกรณีของ “แสงและความมืด” ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน ความแตกต่างนั้นอยู่เพียงแค่ระดับความเข้มข้นระหว่างสองขั้วนี้ แล้วเราจะบอกได้ยังไงว่าจุดไหนที่ “ความมืด” จบลงและ “แสงสว่าง” เริ่มต้น?
อีกตัวอย่างอะไรคือความต่างระหว่าง “ใหญ่และเล็ก”? ระหว่าง “แข็งและอ่อน”? ระหว่าง “ดำและขาว”? ระหว่าง “แหลมคมและทื่อ”? ระหว่าง “เสียงดังและความเงียบ”? ระหว่าง “สูงและต่ำ”? ระหว่าง “บวกและลบ”?
หลักการแห่งขั้วตรงข้ามสามารถอธิบายความขัดแย้งเหล่านี้ได้ และไม่มีหลักการใดจะมาหักล้างมันได้ หลักการเดียวกันนี้ยังสามารถใช้ได้กับความคิดของเราด้วย
ลองยกตัวอย่างสุดโต่งอย่าง “ความรักและความเกลียด” สองสภาวะทางจิตใจที่ดูเหมือนจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แล้วถ้าลองคิดให้ดี จะเห็นว่ามีระดับความเกลียดหลายระดับ และความรักหลายระดับเช่นกัน ตรงกลางของสองขั้วนี้เรามีคำอย่าง “ชอบหรือไม่ชอบ” ซึ่งค่อยๆ กลืนหายไปกับอีกด้านจนบางครั้งเราก็แยกไม่ออกว่าเรารู้สึก “ชอบ” “ไม่ชอบ” หรือ “เฉยๆ” ทั้งหมดนี้เป็นแค่ระดับที่ต่างกันของสิ่งเดียวกัน ลองตรึกตรองให้ดีแล้วคุณจะเข้าใจเอง
ยิ่งไปกว่านั้น (ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนักพรตเฮอร์เมติก) คนเราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกเกลียดชังให้กลายเป็นความรักได้ ทั้งในใจตัวเองและในใจคนอื่น หลายคนที่กำลังอ่านอยู่นี้อาจเคยเจอประสบการณ์ที่ความรักเปลี่ยนเป็นความเกลียด หรือกลับกันแบบฉับพลัน ทั้งกับตัวเองหรือกับคนใกล้ตัวมาแล้ว
และเช่นเดียวกันที่ความเกลียดสามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ คุณก็จะเข้าใจว่าสิ่งนี้สามารถทำได้โดยการใช้พลังจิตรวมถึงการใช้สูตรลับของศาสตร์เฮอร์เมติก “ความดีและความชั่ว” เป็นเพียงขั้วตรงข้ามของสิ่งเดียวกัน
นักพรตเฮอร์เมติกเข้าใจศิลปะของการแปรเปลี่ยนความชั่วร้ายให้เป็นความดีโดยการประยุกต์ใช้หลักการแห่งขั้วตรงข้าม กล่าวโดยย่อ “ศิลปะแห่งการแบ่งขั้ว” คือส่วนหนึ่งของศาสตร์ “การเล่นแร่แปรธาตุทางจิต” ที่เหล่านักพรตเฮอร์เมติกทั้งโบราณและปัจจุบันรู้จักและฝึกฝนกัน หากหมั่นศึกษาและทุ่มเทกับการฝึกฝนอย่างเพียงพอ ความเข้าใจในหลักการนี้จะช่วยให้คุณเปลี่ยนขั้วอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่นได้
หลักการที่ 5 หลักการของจังหวะ
“ทุกสิ่งไหลเวียน เข้าและออก ทุกสิ่งมีจังหวะขึ้นลง การแกว่งของลูกตุ้มปรากฏในทุกสรรพสิ่ง การแกว่งไปทางขวามากเท่าใด ก็จะแกว่งกลับมาทางซ้ายมากเท่านั้น จังหวะจะชดเชยทุกสิ่ง” — ไคบาเลียน
หลักการนี้บอกเราว่า ทุกสิ่งมีการเคลื่อนไหวไหลเข้าออก เหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมา มีขึ้นมีลง สูงต่ำอยู่ระหว่างสองขั้วตามหลักการของขั้วตรงข้ามที่เราคุยกันไปก่อนหน้านี้ จะมีแรงกระทำก็ต้องมีแรงปฏิกิริยา มีก้าวหน้าก็มีถอยหลัง มีขึ้นก็มีลง
เป็นแบบนี้ทั้งในจักรวาล ดวงอาทิตย์ โลก คน สัตว์ ความคิด พลังงาน แล้วก็สสาร กฎนี้เห็นได้ชัดๆ ในการเกิดและดับของโลก การขึ้นและลงของประเทศ ชีวิตทุกสิ่ง และสุดท้ายคือสภาวะจิตใจของคน (นักเล่นแร่แปรธาตุให้ความสำคัญกับการใช้หลักการนี้ทำความเข้าใจสภาวะจิตใจมาก)
พวกนักเล่นแร่แปรธาตุเข้าใจหลักการนี้ดีและเห็นว่ามันใช้ได้กับทุกสิ่ง แถมยังค้นพบวิธีเอาชนะผลของหลักการที่จะมาส่งผลต่อตัวพวกเขาเองด้วยการใช้สูตรและวิธีการต่างๆ พวกเขาใช้กฎจิตแห่งการวางตัวเป็นกลาง
เขาไม่ได้จะล้มล้างกฎนี้ไปเลย แต่เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมันในขอบเขตที่ทำได้ตามความชำนาญของแต่ละคน เขาใช้กฎนี้แทนที่จะถูกกฎใช้ วิธีการแบบนี้นี่แหละคือศิลปะของนักเล่นแปรธาตุ
ปรมาจารย์จะเลือกอยู่กับที่กับจุดที่เขาต้องการ แล้ววางตัวเป็นกลางเพื่อไม่ให้การแกว่งของลูกตุ้มพาเขาไปยังอีกขั้วหนึ่ง ใครๆ ที่ฝึกฝนการควบคุมตัวเองมาบ้างก็ทำแบบนี้ได้เหมือนกันโดยไม่รู้ตัว แต่ปรมาจารย์จะทำแบบนี้โดยตั้งใจใช้จิตตานุภาพของเขา แล้วเขาก็จะได้ความมั่นคงทั้งทางร่างกายและจิตใจในระดับที่คนทั่วไปไม่อาจเชื่อได้เลย
เพราะคนทั่วไปก็ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามจังหวะเหมือนลูกตุ้มนั่นแหละ หลักการแห่งการแกว่งของลูกตุ้ม และหลักการแห่งขั้วตรงข้ามได้รับการศึกษาอย่างละเอียดโดยนักเล่นแร่แปรธาตุ วิธีการโต้ตอบ วางตัวเป็นกลาง และการใช้หลักการเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญมากของศาสตร์เล่นแร่แปรธาตุทางจิต
หลักการที่ 6 หลักการของเหตุและผล
“ทุกเหตุมีผล ทุกผลมีเหตุ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ ความบังเอิญเป็นเพียงชื่อที่เราใช้เรียกกฎที่เรายังไม่เข้าใจ มีหลายระดับของเหตุและผล แต่ไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นจากกฎนี้ได้” — ไคบาเลียน
หลักการนี้บอกเราว่า ทุกผลลัพธ์ย่อมมีสาเหตุ ทุกสาเหตุก่อให้เกิดผลลัพธ์ หลักการนี้อธิบายว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์” ไม่มีอะไร “เกิดขึ้นเฉยๆ”
หลักการนี้บอกว่าไม่มีหรอกความบังเอิญแต่ถึงจะมีเหตุและผลอยู่ในหลายระดับต่างกัน โดยที่ระดับสูงกว่าจะควบคุมระดับที่ต่ำกว่า แต่ก็ยังไม่มีอะไรหนีพ้นกฎนี้ไปได้
นักเล่นแร่แปรธาตุเข้าใจศิลปะและวิธีการที่จะยกระดับตัวเองให้พ้นจากกฎเหตุและผลแบบธรรมดาไปได้ระดับหนึ่ง โดยการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น และกลายมาเป็นผู้กำหนดเหตุการณ์แทนที่จะตกเป็นผลของมัน
คนทั่วไปมักจะทำตัวให้ไหลไปตามสภาพแวดล้อม ตามความต้องการของคนอื่นที่แข็งแกร่งกว่า รวมถึงการทำตัวให้ไหลไปตามพันธุกรรม คำแนะนำ และสาเหตุภายนอกอื่นๆที่คอยชี้นำพวกเขาไปมาเหมือนเป็นตัวหมากรุกในกระดานชีวิต
แต่ปรมาจารย์ที่ยกระดับตัวเองขึ้นไปได้จะสามารถควบคุมอารมณ์ บุคลิก คุณสมบัติ พลัง รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ ทำให้เป็นผู้เดินหมากแทนที่จะเป็นตัวหมาก
พวกเขาเล่นเกมชีวิตอย่างเข้าใจ แทนที่จะโดนความคิดหรือสภาพแวดล้อมอื่นๆ เล่นงาน พวกเขาใช้ประโยชน์จากหลักการนี้ แทนที่จะตกเป็นเครื่องมือของมัน ปรมาจารย์ยังคงอยู่ภายใต้กฎเหตุและผลของระดับที่สูงกว่า แต่ก็สามารถปกครองโลกในระดับที่ตัวเองอยู่ได้ ความรู้ของนักเล่นแร่แปรธาตุอัดแน่นอยู่ในข้อความนี้ ใครเข้าใจก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล
หลักการที่ 7 หลักการของเพศสภาพ
“เพศมีอยู่ในทุกสิ่ง ทุกสิ่งมีหลักการเพศหญิงและเพศชาย เพศปรากฏอยู่บนทุกระดับ” — ไคบาเลียน
หลักการนี้บอกว่าทุกสิ่งมีสองเพศอยู่ในตัว นั่นคือพลังของความเป็นชายและความเป็นหญิง ทำงานอยู่ตลอดเวลา หลักการนี้ไม่ได้มีแค่ในโลกของร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านจิตใจและจิตวิญญาณด้วย ในโลกของร่างกาย
ในโลกทางกายภาพ (โลกความจริงที่เราดำรงค์อยู่ทุกวันนี้) พลังแห่งเพศจะแสดงออกในรูปของเพศทางชีวภาพ แต่ในโลกระดับที่สูงขึ้นไปรูปแบบของมันจะซับซ้อนกว่านั้น แต่หลักการนี้ก็ยังทำงานเหมือนเดิม กล่าวคือแนวคิดเพศยังอยู่ในทุกสิ่ง
การสร้างสรรค์อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ความคิด หรือจิตวิญญาณจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีหลักการนี้ ใครเข้าใจกฎต่างๆของมัน ก็จะเห็นคำตอบในหลายๆ เรื่องที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ
หลักการแห่งเพศนี้ทำงานผ่านการให้กำเนิด การเกิดใหม่ และการสร้างสรรค์ ทุกสิ่งและทุกคนมีองค์ประกอบทั้งสองเพศอยู่ในตัว ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็จะมีธาตุของอีกเพศอยู่ในตัวด้วย
ถ้าอยากเข้าใจปรัชญาว่าด้วยการสร้างสรรค์ กำเนิดใหม่ ทั้งในระดับความคิดและจิตวิญญาณ ก็ต้องเข้าใจและศึกษาหลักการของนักเล่นแร่แปรธาตุข้อนี้ให้ดี มันมีคำตอบของความลับหลายอย่างในชีวิตอยู่
แต่ต้องเตือนไว้ก่อนหลักการนี้ไม่ได้เกี่ยวกับทฤษฎี ความเชื่อ หรือแม้แต่เรื่องทางเพศแบบวิปริตที่เราอาจเคยได้ยินมา ซึ่งมักจะใช้ชื่อหรูๆ แล้วบิดเบือนหลักการที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติออกไป เรื่องพวกนั้นทำลายทั้งจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ
ปรัชญาของนักเล่นแร่แปรธาตุเตือนเราอยู่เสมอว่าต้องระวังคำสอนเสื่อมๆ แบบนั้นที่นำเราไปสู่กิเลสตัณหา ความสำส่อน และการบิดเบือนหลักการของธรรมชาติ ใครที่แสวงหาคำสอนแบบนั้นต้องไปหาที่อื่น ศาสตร์ของนักเล่นแร่แปรธาตุไม่มีอะไรแบบนั้นเลย คนจิตใจบริสุทธิ์ก็จะมองทุกสิ่งด้วยความบริสุทธิ์ แต่คนจิตใจต่ำทรามก็จะมองทุกอย่างอย่างต่ำทราม