บทสรุป
ประเด็นสำคัญ:
- การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวตนภายใน
- คนส่วนใหญ่พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตจากภายนอกสู่ภายใน ซึ่งมักไม่ประสบผลสำเร็จ
- โมเดล “มี ทำ เป็น” นั้นผิดพลาด ควรใช้โมเดล “เป็น ทำ มี” แทน
- ตัวตนของคุณกำหนดวิธีการ “เป็น” ของคุณ และส่งผลต่อผลลัพธ์ในชีวิตของคุณ
- อัตลักษณ์ของคุณถูกเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก และสามารถเปลี่ยนแปลงได้
- พอดแคสต์นี้จะพาคุณไปค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคุณ และเปลี่ยนแปลงชีวิตจากภายในสู่ภายนอก
รายละเอียด:
- โมเดล “มี ทำ เป็น”: คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้ามีสิ่งของ เงินทอง หรือความสามารถ ก็จะสามารถทำอะไรได้และเป็นอะไรก็ได้ แต่โมเดลนี้ผิดพลาด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งภายนอกที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนภายในของคุณได้
- โมเดล “เป็น ทำ มี”: โมเดลนี้เน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงตัวตนภายในของคุณก่อน เมื่อคุณ “เป็น” คนแบบไหน คุณก็จะ “ทำ” สิ่งที่สอดคล้องกับตัวตนของคุณ และ “มี” ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ตัวตน: ตัวตนของคุณคือภาพลักษณ์ของตัวเองที่คุณเชื่อและยึดถือ มันส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของคุณ
- การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์: การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สามารถทำได้ ผ่านการเรียนรู้ การตระหนักรู้ และการฝึกฝน
- เนื้อหานี้: พอดแคสต์นี้จะพาคุณไปค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคุณ ผ่านเนื้อหาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ ความเชื่อ จิตใต้สำนึก และอื่นๆ อีกมากมาย
คำถาม:
- คุณคิดว่าอะไรคือตัวตนที่แท้จริงของคุณ?
- อะไรคือสิ่งที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงในชีวิต?
- คุณจะเริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างไร?
ข้อคิด:
- การเปลี่ยนแปลงชีวิตต้องอาศัยเวลาและความพยายาม
- จงอดทนและมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
- จงเชื่อในตัวเองและศักยภาพของคุณ
นี่คือเนื้อหาที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปตลอดการ มันจะชี้ทางให้คุณ “เปลี่ยนชีวิตคุณจากภายในสู่ภายนอก” หลังจากที่ึคุณได้เข้าใจในเนื้อหานี้อย่างถ่องแท้แล้ว คุณจะกลายมาเป็นคนอย่างคุณอยากเป็น มีสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สุขภาพ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และคุณภาพของครอบครัว
ก่อนอื่นผมอยากเริ่มต้นด้วยคำว่า “การเปลี่ยนแปลง” คืออะไร? คุณคงเคยเห็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจมากมาย ไลฟ์โคชทั่วไปพูดกัน และอาจจะเหมือนกับหลายๆ คน ที่เคยอ่านหนังสือ เข้าร่วมสัมมนา เว็บสัมมนา อบรมออนไลน์ และดูวิดีโอ YouTube มากมายที่พยายามนำเสนอ แต่สุดท้ายแล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
สาเหตุก็เพราะคนส่วนใหญ่มัก “ย้อนกลับ” ไปทำสิ่งเดิมๆ เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต พวกเขาทำงานตามแนวคิด “มากกว่า ดีกว่า แตกต่าง” พวกเขาต้องการเพียงแค่ “มากกว่า” “ดีกว่า” และ “แตกต่าง” เล็กน้อยเท่านั้น
นิยามของ “การเปลี่ยนแปลง” คือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือลักษณะอย่างทั่วถึงหรือรุนแรง แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยกับผู้คนทั่วไป เหตุผลที่เกิดขึ้นไม่บ่อยก็เพราะผู้คนไม่รู้วิธีการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก
แท้จริงแล้ว ข้อมูลผิดๆ มีอยู่มากมายในตลาด และ 99% ของข้อมูลที่คุณและคนส่วนใหญ่ติดตามนั้น ล้วนเกี่ยวกับการ “ทำ” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ตอนนี้ ผมอยากให้คุณย้อนกลับไปและมองชีวิตของคุณ คุณเคยพยายาม “ทำอะไร” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ กี่ครั้งแล้วที่ไม่ได้ผลลัพธ์? คุณอาจจะได้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่สิ่งต่างๆ ไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับคุณ
คุณจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้มาจาก “สิ่งที่คุณทำ” แต่มาจาก “ตัวตนของคุณ” ซึ่งคือ “อัตลักษณ์ภายในที่ไม่รู้ตัว”
คนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจ “อัตลักษณ์” ซึ่งก็คือ “ภาพลักษณ์ของตัวเอง”
คนส่วนใหญ่มักมองข้ามสิ่งสำคัญนี้ ลองนึกภาพ ตัวอย่างง่ายๆ เหมือนกับคุณโตมาในครอบครัวที่ยากจน และได้ยินคำพูดซ้ำๆ ว่า “เงินหามาได้ยาก ไม่ได้ร่วงมาจากต้นไม้ ต้องดิ้นรนทำงานหนัก” ฯลฯ คำพูดเหล่านี้กลายเป็น “อัตลักษณ์” ของคุณ
คุณแสดงตัวตนแบบนี้กับโลก และนั่นคือสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณมีความคิดและความเชื่อแบบนี้คุณจะประสบความสำเร็จยากมาก เพราะคุณกำลังทำงานจากอัตลักษณ์ที่บั่นทอนตัวเอง
ดังนั้นการเปลี่ยนแปรกอัตลักษณ์ภายในจึงสำคัญมาก เมื่อคุณพยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตจากอัตลักษณ์เดิม มันคือกับดักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ติดอยู่
ตอนนี้ ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน คุณเข้าใจว่า ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณอาจทำงานแบบ “ย้อนกลับ” มาตลอดชีวิต นั่นหมายถึง คุณพยายามทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และถ้าคุณมองย้อนกลับไป ประวัติของคุณ มันไม่ได้ผลดีนัก
ผมอยากพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเราจะพูดถึงในตอนที่ 3 หรือ 4 (ผมวางแผนไว้แล้ว) เกี่ยวกับนิสัยของคุณ ตอนนี้เราจะไม่เจาะลึก แต่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่า นิสัยส่วนใหญ่มาจากส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของสมองที่เรียกว่า Reptilian Brain รับผิดชอบในเรื่องของ “สัญชาตญาณ”
ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณหรือใครก็ตามพูดว่า “ฉันอยากเปลี่ยนทัศนคติ” ซึ่งเป็นเรื่องทางจิตวิทยา สิ่งที่พวกเขากำลังพูดจริงๆ คือ พวกเขาอยากเปลี่ยนนิสัย ซึ่งเป็นเรื่องของระบบประสาท และถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณอาจล้มเหลวในการเปลี่ยนนิสัย เพราะคุณไม่เข้าใจการทำงานของสมอง เราจะพูดถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกหน่อยในภายหลัง
กลับมาที่ที่ผมบอกว่าคนส่วนใหญ่ทำงานแบบ “ย้อนกลับ” ผมอธิบายให้ฟังว่ามันหมายถึงอะไร คนส่วนใหญ่ทำงานตามโมเดล “มี ทำ เป็น”
เอาล่ะ มาพูดถึงโมเดลที่ผมเคยใช้ด้วยตัวเองนะ มันคือโมเดล “มี ทำ เป็น”
โมเดลนี้บอกว่า “ถ้าฉันมีหรือเคยมีอะไรบางอย่าง ฉันถึงจะสามารถทำอะไรบางอย่างได้ และเป็นอะไรบางอย่างได้” ตัวอย่างเช่น “ถ้าฉันมีหรือเคยมีเงิน ฉันก็จ้างคนมาทำโฆษณา Facebook ให้ได้ หรือจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณาการต่างๆ เพื่อพัฒนาชีวิต เปลี่ยนชีวิต หรือเปลี่ยนธุรกิจของฉันได้”
ขณะที่ผมพูด คุณเคยเผลอพูดกับตัวเองแบบนี้ไหม? คุณเคยพูดว่า “ถ้าฉันมี X Y Z ฉันจะไปทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป” ไหม?
โมเดล “มี ทำ เป็น” นั้น พูดว่า “ถ้าฉันมีหรือเคยมีบางอย่าง ฉันถึงจะทำอะไรได้” คุณจะทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แล้วถึงจะ “เป็น” คนประสบความสำเร็จ สุขภาพดี มีรูปร่างดี รวยล้าน หรืออะไรก็ตามที่คุณต้องการได้
นี่เป็นโมเดลที่ผิดพลาด คุณไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานพิสูจน์อะไร ถ้าคุณแค่ลองมองชีวิตตัวเองดูว่าที่ผ่านมาคุณได้ดำเนินไปตามโมเดลนี้แล้วมันไม่เวิร์ค
วิธีที่คุณควรเริ่มใช้คือโมเดล “เป็น ทำ มี” คำถามคือ ฉันต้องเป็นใคร หรือทำอย่างไร เพื่อที่จะทำสิ่งที่ฉันเลือกที่จะทำ เพื่อให้ได้ความสำเร็จที่ฉันต้องการ
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการออกกำลังกาย สมมติว่าคุณอยากฟิตหุ่น ข้อผิดพลาดใหญ่ที่สุดที่หลายคนทำตอนเริ่มออกกำลังกายคือ พวกเขารอให้มีแรงจูงใจก่อน “ฉันจะมีแรงจูงใจออกกำลังกายเมื่อไหร่ ค่อยออกกำลังกาย” แต่นั่นทำให้พวกเขาไม่ออกกำลังกายเลย
ลองพูดถึงการ “เป็น” (Be) คุณต้อง “เป็นคนมุ่งมั่น” ก่อน เพราะคุณอาจเคยเจอสถานการณ์ที่ไม่อยากออกกำลังกาย ไม่รู้สึกอยากทำเลย ไร้แรงจูงใจ แต่ถ้าคุณมุ่งมั่น แล้วเริ่มออกกำลังกาย สัปดาห์ที่ 3 กางเกงเริ่มหลวมขึ้น มองกระจกแล้วเห็นความเปลี่ยนแปลง เริ่มมีผลลัพธ์
การมุ่งมั่นทำให้คุณได้ผลลัพธ์ ส่งผลเกิดแรงจูงใจ และแรงจูงใจนี้กระตุ้นให้คุณทำสิ่งที่ต้องทำต่อไปเพื่อให้ได้รูปร่างที่ต้องการ เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่ (รวมถึงคุณด้วย) อาจทำงานแบบ “ย้อนกลับ” โค้ชคนหนึ่งของผม บอกผมว่า เค้าเป็นโค้ชสายเปลี่ยนแปลงชีวิตมา 40 ปีแล้ว เค้าบอกว่า “ความสำเร็จนั้นง่ายๆ คือเรื่องของนิสัย” ซึ่งนิสัยก็คือลักษณะต่างๆ
เมื่อคุณมองถึงสิ่งที่อยากสร้างในชีวิต คุณกำลังพยายามทำงานจาก “การทำ” ซึ่งเป็นพฤติกรรม หรือคุณกำลังทำงานจาก “การเป็น” (Be)
ลองอีกตัวอย่าง ตัวอย่างเช่นนักขายที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะพูดว่า “ผมจะลงมือทำอะไรบางอย่างจริงๆ ผมจะไปสร้างเครือข่าย ผมจะไปหาลูกค้าใหม่ ผมจะสร้างโอกาสทางธุรกิจ ผมจะลงมือทำอะไรสักอย่าง” แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ผิดพลาด เพราะหลายคนมักจะพูดว่า “วันจันทร์นี้ฉันจะเริ่มสร้างโอกาสทางธุรกิจ!”
แต่พอถึงวันพฤหัสบดีหรือศุกร์ พวกเขาก็กลับไปสู่พฤติกรรมเดิม นิสัยเดิม และในวันจันทร์ของสัปดาห์ถัดไป พวกเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก คุณเคยเจอแบบนี้ไหม? ถ้าเคย นั่นเพราะคุณกำลังทำงานแบบย้อนกลับ สิ่งที่พวกเขาไม่เคยหยุดถามตัวเองคือ ตัวตนของพวกเขา หรือการกระทำของพวกเขา ส่งผลให้ท่อส่งลูกค้าแห้งเหยอย่างไร?
มีหลายวิธีที่คนเหล่านี้เป็น หนึ่งในนั้นคือ พวกเขาอาจจะ ไม่เป็นระเบียบ ไม่มุ่งมั่น และอีกหลายอย่าง บางคนอาจใช้คำที่แตกต่างกัน บางคนอาจพูดว่า ขี้เกียจ ไม่มีแรงจูงใจ ขาดสมาธิ หรือไม่มีความมุ่งมั่น ผมไม่รู้หรอกว่าคำไหนเหมาะกับคุณ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่เคยมองที่ตัวตนของเราว่าเราเป็นอย่างไร
หรือการกระทำแบบไหนของเราที่สร้างผลลัพธ์ที่เราไม่ต้องการ เราแค่ดูว่าเราทำอะไรหรือไม่ได้ทำ แต่ไม่เคยเชื่อมโยงมันกับการกระทำนั้นเลย ดังที่ผมพูดตอนเริ่มต้น คนส่วนใหญ่มักทำงานแบบย้อนกลับ คุณรู้ไหม วัฒนธรรมในโลกตอนนี้ โลกโซเชียลมีเดีย และโลกออนไลน์ มีมาสักพักแล้ว
มีนักพูด นักสร้างแรงจุงใจอยู่คนหนึ่งที่ดัง เขาบอกให้ทุกคนทำงานหนักจนเลือดกลบตา ผมเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยนะ ความจริงก็คือ สมมติว่าคุณคิดถึง “ความรวย” ในแง่จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกของคุณเชื่อมโยงกับความยากจน แล้วการกระทำของคุณจะเป็นยังไง? คุณจะอยู่ในจุดที่ “มีเงินน้อย” ในจิตใต้สำนึก
หลายคนฟังคนคนนั้น แล้วก็ทำงานหนักจนเลือดกลบตา ทำงาน 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ละเลยลูก หลาน แฟน ครอบครัว ทำงานหนัก ลำบาก ทำไมน่ะ? เพราะพวกเขาไม่ได้เป็น “คนแบบ” ที่ควรจะเป็นในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อให้สิ่งที่ทำประสบความสำเร็จ
มีคนนึงที่ดังมากๆ (ผมไม่เอ่ยชื่อนะ แต่เชื่อว่าเขาช่วยคนได้เยอะ) เขาบอกให้ทุกคน “ลงมือทำอย่างมโหฬาร” แล้วสร้างธุรกิจทั้งหมดบนแนวคิดนั้น แต่นั่นเป็นแค่การ “ลงมือทำ” ผมจะอธิบายให้ฟังว่ามันมีข้อผิดพลาดยังไง
สมมติว่าคุณไปสัมมนาของเขา เขาบอกว่า “อยากเปลี่ยนชีวิต ต้องลงมือทำอย่างมโหฬาร” คุณคิดว่า “โอเค งั้นลงมือเลย”
อืม เข้าใจเลย ผมเองก็เคยคิดว่าทำอะไรเยอะๆ จะได้ผลลัพธ์เยอะๆ เหมือนกัน แต่มีคำถามสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ “คุณเป็นคนที่สามารถทำอะไรเยอะๆ แบบยั่งยืนได้หรือเปล่า?”
การทำอะไรเยอะๆ แบบยั่งยืน ต้องอาศัยหลายอย่าง:
- ความสมบูรณ์ในตัวเอง (Self-integral): คุณต้องพึ่งพาตัวเองได้ ไม่หวั่นไหวกับอุปสรรค
- ความมุ่งมั่น (Committed): คุณต้องมุ่งมั่นในเป้าหมาย ไม่ล้มเลิกง่ายๆ
- การรับผิดชอบ 100% (100% Responsible): คุณต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ ไม่โทษคนอื่น
- มีสมาธิ (Focused): คุณต้องโฟกัสกับเป้าหมาย ไม่วอกแวก
- มีแรงขับเคลื่อน (Driven): คุณต้องมีแรงบันดาลใจผลักดันตัวเอง
ลองนึกภาพ คุณอาจทำอะไรเยอะๆ ได้ทั้งวัน แต่ถ้าคุณไม่มีคุณลักษณะเหล่านี้ พลังในการทำอะไรเยอะๆ ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว
ผมไม่ได้ว่าใครโง่ แต่หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ จิม โรห์ นักปรัชญาธุรกิจของอเมริกา เขาเคยพูดว่า “ถ้าคุณกระตุ้นคนโง่ คุณก็ได้แค่คนโง่ที่กระตือร้นเท่านั้น!” ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่มันไม่สำคัญว่าคุณ ทำ อะไร สิ่งสำคัญคือคุณ เป็น ใคร
คนมักคิดว่าเราต้อง ทำ อะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่พวกเขาลืมไปคือ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับ ตัวตน ของผู้ทำด้วย ปล่อยผมพูดซ้ำอีก คือ สิ่งที่คุณ ทำ ประสบความสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ ตัวตน ของคุณ ลองพิจารณาสิ่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นการทำอะไรเยอะๆ การออกกำลังกาย การหาลูกค้า การสร้างเพจขายของ การเขียนบทโฆษณา การสร้างช่องทางขาย หรือการสร้างธุรกิจ สิ่งที่คุณ ทำ ประสบความสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ ตัวตน ของคุณ
คุณอาจจะเคยหรือไม่เคยไปเข้าร่วมฟังสัมนาพัฒนาชีวิต เขาบอกทุกคนว่า ‘เขียนเป้าหมายของคุณลงไป!’ ทุกคนก็จะดึงเอากระดาษออกมาเขียนเป้าหมายของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พวกเขาตั้งเป้าหมายบ้านหรู รถหรู เงินทอง และความสำเร็จต่างๆ ผมกล้ารับประกันเลยว่า 97-98% ของคนเหล่านั้น ไม่เคยบรรลุเป้าหมายนั้นเลย
สาเหตุก็เพราะพวกเขาพยายามทำอะไรเพื่อ ให้ได้ เป้าหมาย แทนที่จะ เป็น คนที่คู่ควรกับเป้าหมายนั้น ไม่เพียงแค่นั้น เป้าหมายเหล่านั้นยังขัดแย้งกับตัวตนภายในของพวกเขาด้วย
ที่งานการตลาดแบบเครือข่าย (MLM) หรืองานสัมนาตัวแทนประกัน ทุกคนตั้งเป้าหมายกันอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น เคยสงสัยไหมว่าทำไมการตั้งเป้าหมายไม่ค่อยได้ผล? บางคนอาจคิดว่า ‘อะไรกัน? ทุกคนก็บอกให้ตั้งเป้าหมายกันหมด!’
ใช่ ทุกคนบอกให้ตั้งเป้าหมาย แต่ปัญหาคือ การตั้งเป้าหมายแบบทั่วไปมักเป็นการตั้งจากตัวตนปัจจุบัน สิ่งที่คุณ เป็น ตอนนี้ ย่อมจำกัดสิ่งที่คุณ ทำ ได้ ทำให้คุณวนเวียนอยู่กับที่เดิม ไม่สามารถสร้างสิ่งที่คุณต้องการได้ในอนาคต
นี่คือเหตุผลที่คุณควรทำงาน จาก เป้าหมายและวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ทำงาน เพื่อ เป้าหมายและวิสัยทัศน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ
ก่อนที่เราจะไปเรื่องถัดไป ผมอยากให้คุณรู้จักกับ NLP (Neuro-Linguistic Programming) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์การสื่อสารที่พัฒนาขึ้นในช่วงปี 1970 โดยริชาร์ด แบนด์เลอร์ และจอห์น กรินเดอร์ ในช่วงทศวรรษที่ 50 มีนักจิตวิทยาสังคมชื่อเกรกอรี เบทสัน เสนอโมเดลพฤติกรรมที่เรียกว่า “ระดับตรรกะ” (Logical Level) ซึ่งผมจะอธิบายให้คุณฟัง
เตรียมกระดาษและปากกาไว้ ถ้าเป็นไปได้ ให้วาดรูปสามเหลี่ยมขนาดประมาณครึ่งหน้ากระดาษ ตรงล่างสุด เขียนคำว่า “สภาพแวดล้อม (Environment)” ถัดขึ้นไปข้างบนเขียนคำว่า “พฤติกรรม (Behavior) ” ถัดขึ้นไปต่อด้วยคำว่า “ทักษะ (Capability)” (NLP ใช้คำว่า “ทักษะ” แทน “ความสามารถ”)
ถัดขึ้นไปอีกเขียนคำว่า “ความเชื่อ (ฺBelief)” ถัดขึ้นไปอีกเขียนคำว่า “อัตลักษณ์ (Identity)” มีอีกขั้นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ในโมเดล NLP ทั่วไป คือขั้นบนสุด
บนสุดให้เขียนคำว่า “จิตวิญญาณ” หรือ “พลังจักรวาล” หรืออะไรก็ได้ที่สื่อถึงพลังที่สร้างและรักษาจักรวาลนี้ไว้ให้คงอยู่ ซึ่งหมายถึงพลังทางจิตวิญญาณ พลังแห่งจักรวาล พลังธรรมชาติ พลังพระเจ้า หรือพลังควอนตัมที่ไหลผ่านตัวคุณ เพราะคุณเป็นสิ่งที่มีพลังงาน
คุณจะได้รูปคร่าวๆตามรูปด้านล่างนี้
ตอนนี้ ผมอยากให้คุณวงกลมคำว่า “พฤติกรรม (Behavior)” แล้วมองมันดีๆ เพราะเมื่อคุณต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต…
คนส่วนใหญ่ มักเริ่มต้นที่การกระทำ เช่น ตั้งใจจะออกกำลังกายในเดือนมกราคม เริ่มต้นปีด้วยความตั้งใจดี แต่มองไปที่ฟิตเนส ภายในสัปดาห์ที่สามของเดือนมกราคม ผมเชื่อว่าเหลือคนที่ออกกำลังกายไม่ถึง 10% เท่านั้น
ทำไม? เพราะพวกเขาพยายาม “ทำอะไรบางอย่าง” เช่น ขับรถไปฟิตเนส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ พวกเขาพยายาม ทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคิดเลยคือ “นั่นแค่พฤติกรรมของฉัน”
ผมอยากให้คุณวงกลมคำว่า “อัตลักษณ์” แล้วมองมัน อัตลักษณ์ของคนที่ออกกำลังกายคืออะไร?
สมมติว่าอัตลักษณ์ของคนที่ออกกำลังกายคือ “ฉันเป็นคนทำอะไรไม่ยึดติด” นี่คือคุณลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าตัวเองมี
คุณยังวงกลมคำว่า “ความเชื่อ” ได้อีก ความเชื่อของพวกเขาอาจจะเป็น “ฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่ยึดติด”
ถ้ามองกลับไปที่ด้านบนของพีระมิด พฤติกรรมจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนถ้าความเชื่อที่อัตลักษณ์คือ “ฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่ยึดติด”
อธิบายเพิ่มเติม:
- “สภาพแวดล้อม” ที่ด้านล่างของพีระมิด หมายถึงโลกกายภาพ ร่างกายของคุณ และผลลัพธ์ที่คุณต้องการสร้าง
- ถ้าคุณไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณ ทำ (ซึ่งมักเป็นสิ่งที่คุณพยายามทำ) แต่เป็นเพราะ ตัวตน ของคุณที่ระดับอัตลักษณ์
หวังว่าตอนนี้จะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ว่าเค้าโครงของสิ่งที่คุณสร้างขึ้น มาจาก “การเป็น” และ “วิธีที่คุณเป็น” การเป็นของคุณจะกำหนดสิ่งที่คุณสร้าง”
อัตลักษณ์ของคุณกำหนดวิธีการ “เป็น” ของคุณ และอัตลักษณ์ของคุณถูกเรียนรู้มาตั้งแต่ก่อนอายุ 8 ขวบ โสเครติสเคยพูดประมาณนี้ และนักจิตวิทยาชาวเยอรมันคนหนึ่งก็พูดทำนองเดียวกันว่า “ถ้าฉันเลี้ยงเด็กจนถึงอายุแปดขวบ ฉันจะครอบครองเด็กคนนั้นตลอดชีวิต”
นั่นเป็นเพราะเราถูกกำหนดโดยสิ่งที่เกิดขึ้นตอนเด็ก เพราะสมองส่วนวิเคราะห์ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ดังนั้น สิ่งที่ได้ยินตอนเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ จะถูกบันทึกไปยังจิตใต้สำนึกโดยตรง เพราะเรายังวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินไม่ได้จนกว่าจะโตขึ้นอีกหน่อย
ตัวอย่างเช่น เด็กชายสองคนในสนามเด็กเล่น อายุ 5 ขวบ คนนึงพูดกับอีกคนว่า “โง่!” เด็กอีกคนร้องไห้ แต่ถ้าเป็นเด็กชายอายุ 12 ปี คนนึงพูดกับอีกคนว่า “โง่!” อีกคนสวนกลับว่า “ไม่โง่! แกต่างหากที่โง่!” เพราะเขาสามารถวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยิน
ผมจะพาทุกคนแยกแยะตัวเองออกเป็นส่วนๆ ตลอดการฟังพอดแคสต์นี้ และในช่วงเวลาที่เราใช้ร่วมกัน ผมจะพาคุณไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต ผ่านการสร้างตัวเองใหม่จากภายในสู่ภายนอก พอดแคสต์แต่ละตอนจะช่วยให้คุณเติบโต
กลับมาที่พีระมิดนี้อีกครั้ง ชื่อทางการใน NLP คือ ระดับตรรกะ (Logical Level) คิดค้นโดย Gregory Bateson นักจิตวิทยาสังคม ย้อนกลับไปช่วงปี 1880 มีคนชื่อ James Allen เขียนหนังสือชื่อ “As A Man Thinketh” เขาพูดว่า “จิตใจเป็นพลังสำคัญที่หล่อหลอมและสร้างสรรค์ คนคือจิตใจ และตลอดไป เขาจะได้รับ สิ่งที่เขาคิดในใจ และสภาพแวดล้อมของเขาเป็นเพียงกระจกสะท้อน”
ทุกสิ่งในชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีธนาคาร ร่างกาย ความสัมพันธ์ ล้วนสะท้อนอัตลักษณ์ของคุณ มันถูกสร้างขึ้นจากตัวตนภายใน
ดังนั้นผมอยากให้คุณตระหนักว่า การเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ใช่แค่ลงมือทำ การกระทำของคุณมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับตัวตนของคุณ การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนภายใน มันไม่ใช่แค่ไปทำนู่นทำนี่ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลง เราจะเริ่มทำงานจากภายใน
ผมบอกคุณแล้วว่า ผมจะพาคุณไปลึกกว่าที่เคยฟังมา เป้าหมายของผมคือ ทุกตอนจะมีสิ่งที่คุณค้นพบและนำไปปรับใช้ได้ ผมอยากปลูกฝังเมล็ดพันธุ์บางอย่างไว้ตอนนี้ ผมจะไม่เจาะลึก แต่คำถามคือ ถ้าคุณมองไปที่ตัวคุณเอง ไม่ว่าชื่อคุณจะเป็นอะไร นาย ก. นาย ข. นางสาว ค. หรืออยู่ที่ไหนบนโลก… คุณมองตัวเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิต และมองไปที่อัตลักษณ์ของคุณ
ตามหลักการอนุรักษ์พลังงานและมวลสารของไอน์สไตน เราไม่สามารถทำลายพลังงานได้ ทุกอย่างแค่เปลี่ยนรูปร่าง เหมือนกับก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำ ก้อนน้ำแข็งละลาย แต่ปริมาณของเหลวในแก้วก็ยังเท่าเดิม เช่นเดียวกันกับคุณ ตามทฤษฎีของไอน์สไตน เราไม่ตาย เราแค่เปลี่ยนรูปร่าง นั่นหมายความว่าคุณอยู่ที่ไหนสักแห่งก่อนที่จะมาอยู่ในร่างกายนี้
อีกครั้ง ผมบอกคุณว่า ผมไปลึกในบางเรื่อง ผมแค่อยากพาคุณไปตามนั้น ผมจะไม่ไปไกลเกินไป แต่สิ่งที่ผมอยากถามคุณจริงๆ คือ ถ้าคุณขุดลึกลงไปและมองไปที่อัตลักษณ์ของคุณในฐานะสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่คนในสังคม แต่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ อัตลักษณ์ของคุณคืออะไร? ผมจะให้คำใบ้เล็กน้อย…
หลายคนเคยได้ยินว่า “เราเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณด้วย” แต่ผมอยากบอกว่า เราไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณ เราเป็น “สิ่งมีชีวิตจักรวาล” ที่มาอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์
ถ้าคุณยอมรับและดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์นี้ คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง?
ประเด็นหลักที่ผมอยากให้คุณจำไว้คือ “คำถาม” อะไรคือสิ่งที่คุณมุ่งมั่น และคุณต้องเป็นอย่างไรหรือใครถึงจะบรรลุสิ่งนั้น?
ตัวอย่าง: ความสัมพันธ์ของคุณไม่เป็นอย่างที่ต้องการ แทนที่จะพยายาม “ทำ” อะไรเพื่อให้ดีขึ้น ลองถามตัวเองว่า “ฉันต้องเป็นใคร ต้องทำอย่างไร (who and how)” ถึงจะได้ความสัมพันธ์ที่สงบสุขและรักใคร่?
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ติดตามพอดแคสต์ต่อไป คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “อัตลักษณ์จิตใต้สำนึก” และวิธีที่มันควบคุมชีวิตคุณ ตัวอย่างเช่น ยาสีฟันที่คุณซื้อบ่อยๆ ทำไม? เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ คุณทำงานภายใต้บริบทของอัตลักษณ์ของคุณเสมอ
อ้างอิง: เนื้อหาในบทความนี้เรียบเรียงมาจากพอดคาสต์ของ จิม ฟอร์ติน Transforming Your Life from Inside Out