จุดเริ่มต้น: ศาสตร์ลับเฮอร์เมส (Hermeticism)
จักรวาลของเราดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ เช่น ผลไม้ที่หล่นจากต้นย่อมตกสู่พื้น นกบินได้ ปลาอยู่ในน้ำ น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไฟจะติดได้ต้องมีออกซิเจน และมนุษย์…เกิดมาและในที่สุดก็ตาย
เมื่อเราใช้เวลาทำความเข้าใจกฎเหล่านี้ เราก็สามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น เราคิดค้นวิธีเอาชนะแรงโน้มถ่วงจนบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เราใช้แรงเสียดทานระหว่างยางรถกับพื้นถนนเพื่อให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือแม้แต่การตระหนักว่าชีวิตเรามีเวลาจำกัด ก็ช่วยให้เราใช้แต่ละวันให้คุ้มค่าที่สุด
ตั้งแต่อดีต มนุษย์พยายามทำความเข้าใจกฎธรรมชาติเพื่อใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหล่าผู้มีปัญญาต่างค้นคว้าหาความจริงเหล่านี้มาโดยตลอด เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีความหมาย และมีอำนาจควบคุมเส้นทางของตัวเองมากขึ้น
ทุกวันนี้ ความรู้เกี่ยวกับกฎธรรมชาติมีให้ศึกษาอย่างอิสระ หนังสือมากมายวางเรียงรายอยู่บนชั้นในร้านหนังสือ แต่ย้อนกลับไปเกือบ 2,000 ปีก่อน การพูดถึงแนวคิดเหล่านี้อาจทำให้คนถูกกล่าวหาว่าหมิ่นศาสนาและถึงขั้นถูกประหาร พวกเขาจึงต้องกระซิบคุยกันอย่างลับๆ ถ่ายทอดจากอาจารย์สู่ศิษย์เฉพาะในเวลาที่เหมาะสม และกับคนที่ไว้ใจกันเท่านั้น
แต่เพราะมนุษย์รู้จักบันทึกและอนุรักษ์ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นจารึกบนแผ่นหิน แท่งศิลา หรือเอกสารโบราณ ทำให้เราในยุคปัจจุบันยังสามารถย้อนกลับไปศึกษาปรัชญาเหล่านั้นได้ ความรู้อันล้ำค่าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปิดซ่อนไว้
ศาสตร์นี้เองที่นำพาเราให้เข้าใจจักรวาลอย่างลึกซึ้ง เป็นแรงผลักสำคัญของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอเมริกา และยังคงปรากฏอยู่ในแนวคิดพัฒนาตัวเองมากมายในยุคปัจจุบัน
ศาสตร์ที่ว่านี้คือ ศาสตร์ลับเฮอร์เมส (Hermeticism)
Hermetic เป็นหนึ่งในสายความเชื่อของลัทธิญานวิทยา (Gnosticism) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ ลัทธิญานวิทยาเป็นคำที่ใช้เรียกรวมๆ แนวคิดและระบบความเชื่อทางศาสนาโบราณหลายกลุ่มซึ่งมีรากฐานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1-2 หลังคริสตกาล
งานเขียนเกี่ยวกับศาสตร์ลับเฮอร์เมสที่ยังหลงเหลืออยู่รู้จักกันในชื่อ คอร์ปัส เฮอร์เมติกา (Corpus Hermetica) ซึ่งประกอบด้วยจดหมายหลายฉบับจากปรมาจารย์ แฮร์เมส ทริสเมจิสทัส (Hermes Trismegistus) ที่เขามุ่งให้ความกระจ่างแก่นักเรียนของเขา จดหมายเหล่านี้สูญหายไปจากโลกตะวันตกหลังยุคคลาสสิก แต่ยังคงเหลืออยู่ในห้องสมุดของจักรวรรดิไบแซนไทน์
ในศตวรรษที่ 15 จดหมายเหล่านี้ถูกค้นพบอีกครั้งและได้รับการแปลเป็นภาษาละตินโดยราชสำนักของโคสิโม เดอ เมดิชิ (Cosimo de Medici – ปู่ของ ลอเรนโซ เดอ เมดิชิ ผู้สนับสนุน เลโอนาร์โด ดา วินชี และศิลปินอีกหลายคนในยุคเรอเนสซองส์) จดหมายเหล่านี้ทรงอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น และเป็นตัวเร่งสำคัญต่อการพัฒนาความคิดแบบเรอเนสซองส์ในอิตาลี
หลักการของศาสตร์ลับเฮอร์เมสตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า จักรวาลของเราดำเนินไปตามกฎธรรมชาติที่เฉพาะเจาะจง หากเราเข้าใจและสามารถนำกฎเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ เราก็จะสามารถควบคุมและเป็นเจ้านายชีวิตตัวเอง และกุมชะตากรรมของตัวเองได้
โดยสรุป เฮอร์เมติซึมหรือเฮอร์เมติก (Hermeticism) เป็นปรัชญาลึกลับและระบบความเชื่อโบราณที่มีรากฐานมาจากกลุ่มคัมภีร์เมธิก (Hermetica) ซึ่งเป็นชุดของบทความทางปรัชญาและกายภาพที่เขียนขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 3 โดยผู้แต่งไม่ปรากฏชื่อ หลักการสำคัญของเฮอร์เมติซึมคือ
- มนุษย์สามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้บรรลุภาวะอมตะและสติปัญญาสูงสุดได้
- มีการผสมผสานระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และโลกแห่งวัตถุ
- ธรรมชาติมีคุณสมบัติเป็นสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์ทั้งหมดมีจิตวิญญาณ
- เน้นการค้นหาความจริงแท้ของสรรพสิ่งผ่านปรัชญาลึกลับ
The Kybalion คืออะไร
หลักการเฮอร์เมติกที่กล่าวมาข้างต้น แบ่งออกเป็นส่วนที่เรียกว่าหลักจักรวาลทั้ง 7 ถูกเรียบเรียงและเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านคัมภีร์ชื่อ “ไคบาเลียน” (The Kybalion)
The Kybalion คือหนังสือที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1908 ซึ่งอ้างว่าเป็นสรุปของคำสอนแบบเฮอร์เมทิซึม (Hermetic teachings) โดยผู้เขียนนิรนามใช้ชื่อ “The Three Initiates” หรือ ผู้ริเริ่มทั้งสาม (แต่จริงๆไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีผู้แต่ง 3 คน แต่เป็นเพียงนามปากกาของนักเขียนคนใดคนหนึ่ง)
หนังสือเล่มนี้ได้วางหลักการพื้นฐานของปรัชญาเฮอร์เมทิซึม ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งต่อความรู้ด้วยวาจา ระหว่างผู้ที่รอบรู้ในความเชื่อแบบเฮอร์เมทิซึม (Hermetic Doctrine) มาจากรุ่นสู่รุ่นตลอดหลายศตวรรษ การสืบทอดความรู้ผ่านกาลเวลานี้ถูกเรียกว่า “Kybalion”
ในหนังสือ ผู้เขียนได้เน้นย้ำสิ่งที่เรียกได้ว่า “Mental Alchemy” (การเล่นแร่แปรธาตุด้วยจิต) ซึ่งถือเป็นแก่นแท้ของศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ โดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงของผู้ปฏิบัติ
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 7 บท แต่ที่สำคัญคือในบทแรกที่มีการอธิบายหลักการพื้นฐานของประเพณีเฮอร์เมทิซึม และขนบธรรมเนียมที่ยิ่งใหญ่แบบลึกลับ (Esoteric) ทั้งหลาย หลักการนี้เรียกว่าหลักการจิตนิยม (the principle of mentalism) ที่เชื่อว่า “ทุกสิ่งคือจิตใจ ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือจิตใจ” ทั้งเจ็ดหลักการของเฮอร์เมทิซึมได้มีการบรรยายไว้ในเจ็ดบทของหนังสือนี้
1. หลักการจิตนิยม (The Principle of Mentalism)
- ความหมาย: ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาจากจิตใจ สิ่งที่มีตัวตนเกิดขึ้นจากการคิดของจิตระดับสากล (Universal Mind) โดยจิตใจของมนุษย์นั้นเป็นเพียงส่วนสะท้อนที่เลือนรางของจิตอันยิ่งใหญ่นี้
- คำอธิบาย: หลักการนี้ถือเป็นฐานรากของปรัชญา Hermeticism เน้นย้ำว่าความคิดและจิตใจมีพลังกำหนดความจริงของเรา สิ่งที่เราเชื่อและให้ความสำคัญจะสะท้อนออกมาสู่โลกภายนอก
2. หลักการสอดคล้องกัน (The Principle of Correspondence)
- ความหมาย: เป็นการอ้างอิงประโยคเปิดจาก Emerald Tablet: “สิ่งข้างบนก็เหมือนกับสิ่งข้างล่าง และสิ่งข้างล่างก็เหมือนสิ่งข้างบน” (“As above, so below; as below so above”) ทุกสิ่งในจักรวาลมีความเชื่อมโยงกันเป็นกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน
- คำอธิบาย: หลักการนี้แนะว่าการเข้าใจสิ่งใกล้ตัวช่วยให้เข้าใจสิ่งที่อยู่ไกลออกไป ทั้งในระดับโลกไปจนถึงระดับจักรวาล รวมถึงสิ่งที่เรารับรู้ได้และมิติที่เรายังไม่สามารถเข้าถึง
3. หลักการสั่นสะเทือน (The Principle of Vibration)
- ความหมาย: ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสถานะเคลื่อนไหวหรือสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดอยู่นิ่งเฉย
- คำอธิบาย: หลักการนี้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในเรื่องที่อนุภาคพื้นฐานอย่างอิเล็กตรอน โปรตอน ไปจนถึงระบบในร่างกาย ดาวเคราะห์ และกาแล็กซี ล้วนอยู่ในสภาวะการเคลื่อนที่และสั่นสะเทือน ทุกอย่างมีพลังงานเฉพาะตัว ซึ่งพลังงานนี้เองมีผลต่อภาพรวมของสิ่งต่างๆ
4. หลักการขั้วตรงข้าม (The Principle of Polarity)
- ความหมาย: ทุกสิ่งมีสองขั้ว ทุกสิ่งมีด้านตรงข้าม ขั้วที่แตกต่างกันสุดขั้วจะมาบรรจบกัน ความจริงทั้งหลายเป็นเพียงครึ่งเดียวของความจริง และความขัดแย้งต่าง ๆ สามารถหาจุดเชื่อมโยงได้ ตัวอย่างเช่น ไม่มีความร้อนสูงสุดหรือความเย็นสูงสุด วลีที่พูดถึง “ความร้อน” และ “ความเย็น” เป็นเพียงแค่การแสดงระดับที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ชนิดเดียวกัน ปรากฏการณ์นี้เองที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรารับรู้ว่าเป็นความร้อนและความเย็น ซึ่งแนวคิดนี้ก็มีความสอดคล้องกับฟิสิกส์ยุคใหม่ด้วย อีกตัวอย่างคือ แสงสว่างกับความมืดก็เป็นสิ่งเดียวกัน ความแตกต่างของทั้งสองเกิดจากระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน
- คำอธิบาย: ขั้วตรงข้ามเป็นส่วนเสริมกัน ขั้วต่าง ๆ มาบรรจบกัน ความจริงเป็นเพียงมุมมองด้านเดียวเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีอีกด้านหนึ่ง ทุกสิ่งสัมพันธ์กัน แต่ละขั้วดำรงอยู่ได้เพราะอีกขั้วดำรงอยู่เช่นกัน และภายในตัวของแต่ละขั้วก็ยังมีอีกขั้วหนึ่งซ่อนอยู่ภายในอย่างมีศักยภาพ
หลักการนี้เน้นการทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะตรงข้ามกันนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ปรากฏอยู่บนสเปกตรัมระดับที่แตกต่างกัน
5. หลักการจังหวะ (The Principle of Rhythm)
- ความหมาย: ทุกสิ่งมีวัฏจักรของมันเอง มีการเติบโตและการเสื่อม มีการขึ้นและลง หลักการนี้ปรากฎให้เห็นตั้งแต่การสร้างและการดับสูญของโลก พัฒนาการและความตกต่ำของประเทศชาติ วงจรชีวิตของทุกสิ่ง ไปจนถึงสภาวะจิตใจของมนุษย์
- คำอธิบาย: ทุกสรรพสิ่งดำเนินไปตามจังหวะและรูปแบบที่แน่นอน มีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองและช่วงเวลาที่ท้าทาย หลักการนี้ย้ำเตือนเราเรื่องความไม่เที่ยง การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งเดียวที่คงที่
6. หลักการเหตุและผล (The Principle of Cause and Effect)
- ความหมาย: ทุกเหตุการณ์ย่อมมีผลลัพธ์ที่ตามมา และทุกผลลัพธ์ย่อมเกิดจากเหตุการณ์ที่มาก่อน ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎแห่งเหตุและผล
- คำอธิบาย: หลักการนี้ยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบบังเอิญ ทุกสิ่งเกิดขึ้นมีเหตุผลเบื้องหลัง โชคชะตาหรือความบังเอิญล้วนไม่มีจริง สิ่งนี้เชื่อมโยงอย่างมากกับแนวคิดเรื่อง “กรรม” ซึ่งเป็นแก่นสำคัญในศาสนาตะวันออกและปรัชญาแบบลึกลับในหลายยุคสมัย ทุกสิ่งที่เราเป็นในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากผลจากสิ่งที่กระทำมา
หลักการทั้งสองนี้เน้นย้ำเรื่องความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งของทุกสิ่ง สอนให้เรามองเห็นทั้งภาพรวมของรูปแบบและวัฏจักรที่เกิดขึ้น รวมถึงการตระหนักว่าการกระทำทุกอย่างย่อมมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ
7. หลักการเพศภาวะ (The Gender Principle)
- ความหมาย: ทุกสิ่งมีสองเพศภายในตัวเอง ทุกสิ่งมีทั้งพลังงานหยิน (feminine principle) และพลังงานหยาง (masculine principle) พลังงานทั้งสองนี้ปรากฏในทุกระดับมิติ
- คำอธิบาย: หลักการนี้ไม่ได้กล่าวแค่เพศทางกายภาพอย่างเดียว แต่รวมถึงระดับจิตใจและจิตวิญญาณด้วย บนระดับกายภาพ หลักการนี้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมด้วยการมีอยู่ของสองเพศ แต่บนระดับที่สูงขึ้น หลักการเพศภาวะนี้จะแสดงออกในรูปแบบที่เป็นนามธรรมมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นสองด้าน
เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริบทของข้อความที่คุณให้มา:
ดูเหมือนว่าข้อความนี้กำลังตำหนิการตีความปรัชญา Hermeticism ในยุคปัจจุบันที่มักจะไม่สมบูรณ์หรือถูกมองข้าม เพราะการที่สูญเสียกุญแจในการตีความคัมภีร์เก่าแก่ของ Hermes ทำให้ขาดความเข้าใจแก่นแท้ของปรัชญา
- “Logic in one does not realize that one is gradually landing on the most macroscopic absurdities” – วลีนี้กำลังพูดถึงว่าบางคนใช้แค่ตรรกะอย่างเดียวในการทำความเข้าใจ Hermeticism โดยไม่ตระหนักถึงความละเอียดอ่อนและองค์ประกอบที่เป็นนามธรรม จึงนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดพลาด
- “The lips of wisdom are only open to the years of understanding” – อันนี้ตอกย้ำว่าภูมิปัญญาที่แท้จริงใน Hermeticism ต้องใช้เวลาและความพยายามในการเข้าใจ ไม่ใช่แค่การอ่านแล้ววิเคราะห์อย่างผิวเผิน